ถือได้ว่าการรีวิวรถในครั้งนี้ของทีมงาน MotoWish เป็นการทดสอบที่ครบเครื่องถึงใจอย่างแท้จริง โดยทีมงานมีโอกาศสุดพิเศษได้พาเจ้า Bubble B เอร๊ยยยไม่ใช่ๆ Yamaha MT-10 (เอ็มที-เท็น) ลงไปหวดแบบเต็มคันเร่ง ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ พร้อมออกทริปอีกหนึ่งชุดใหญ่ไฟกระพริบ

ต้องบอกกล่าวกันก่อนว่าการเทสรถครั้งนี้ จะเน้นไปทางการทดสอบในสนาม และออกทริปเป็นหลัก เนื่องจากเราได้เคยทำ Preview Yamaha MT-10 ไปแล้วตอนเปิดตัวใหม่ๆ โดยเพื่อนๆสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมแบบเจาะชัดทุกสัดส่วนได้ที่ลิงค์ Preview Yamaha MT-10 ด้านล่างสุดของรีวิวนี้ อ๊ะมาเริ่มกันเลยดีกว่า…

เครื่องยนต์

เครื่องยนต์ที่อยู่ใน Yamaha MT-10 คือเครื่องยนต์ของสปอร์ตท็อปคลาส YZF-R1S รหัส “S” ที่ต่อท้ายคือ เครื่องยนต์ได้ถูกปรับลดทอนแรงม้าลงเหลือ 160 แรงม้าที่ 11,500 รอบ/นาที ซึ่งของ (R1 200 แรงม้าที่ 13,500 รอบ/นาที) และมีแรงบิดที่ 111 นิวตันเมตรที่ 9,000 รอบ (R1 112.4 ที่ 11,500 รอบ/นาที) เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของตัวรถแบบเน็คเก็ตนั้นเอง

ระบบอิเล็คทรอนิกส์

เรือนไมล์ขนาดกะทัดรัด แสดงข้อมูลครบถ้วน สิ่งที่ทีมงานชอบเป็นพิเศษคือไฟ “ชิฟไลท์” แจ้งเตือนให้เปลี่ยนเกียร์เมื่อถึงรอบเครื่องที่ตั้งไว้ ให้แสงสว่างได้อย่างพอเหมาะทั้งกลางวัน และกลางคืนก็ไม่มีอาการสว่างเกินจนรบกวนสายตาขณะขับขี่แต่อย่างใด แต่มีปัญหาตรงส่วนระดับน้ำมัน 2 ระดับด้านล่าง หมดเร็วมากๆ (อาจะเป็นเพราะลูกลอยอยู่ก้นถัง) หากออกทริปเดินทางควรคำนวณพิกัดปั้มน้ำมันและระยะทางให้พอดีกับความจุ 17 ลิตร ไม่เช่นนั้นน้ำมันหมดกลางทางมีได้ยันรถกันขาโก่งแน่ๆ

*  การบริโภคน้ำมันเฉลี่ยที่หน้าจอแสดงผลไม่ต้องสนใจนะ เพราะค่าที่เห็นอยู่นี้เทสไรเดอร์ซัดแบบหูดับตับไหม้เลย 5555 มีเบาๆคันเร่งช่วงรถติดๆแค่นั้นเอง

ด้านซ้ายมือเป็นปุ่มปรับ Traction Control 3 ระดับ และเลือกปิดการทำงานของระบบได้ ส่วนปุ่มเล็กๆวงกลมจะเป็นระบบ Cruise Control ให้ได้ขี่กันฟินๆเรื่อยๆไม่เมื่อยมือกันไป

ทางด้านฝั่งขวามือมีปุ่ม  MODE สามารถปรับเลือกเครื่องยนต์ได้ 3 ระดับ วิธีการปรับเพียงแค่ดันสวิทช์แล้วดูที่หน้าจอ MODE จะวนไปเรื่อยๆดังนี้ STD -> A -> B -> STD

Mode Standard : ให้การตอบสนองอย่างสมูท แรงบิดไม่มาก คุมคันเร่งได้ง่ายๆ

Mode A : แรงขึ้นจาก Standard อีกเล็กน้อย แรงบิดเพิ่มมากขึ้นอีก

Mode B : แรงม้ามาเต็ม พร้อมแรงบิดครบเครื่อง (แนะนำอย่าปิด Traction Control หากยังไม่เก๋าพอ)

สำหรับการใช้งานบนท้องถนนทั่วไปอย่างในเมืองแนะนำปรับเพียงแค่โหมด Standard  ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าออกทริปเดินทางยาวๆ หรือมีถนนดีๆช่วงทางตรงยาวๆให้ได้ซัดกัน ก็แนะนำปรับไปเต็มสตรีมที่ Mode B เพื่อเรียกม้าที่มีอยู่ในคอกทั้ง 160 ตัว มาออกกำลังกายกันทั้งฝูงแล้วคุณจะรู้ว่า “มันส์ม๊วกกก”

กันสะบัดไฟฟ้า ติดตั้งที่ตำแหน่งใต้หน้ากากด้านหน้า ดูจากรหัสแล้วน่าจะเป็นตัวเดียวกันกับของ R1 อีกเช่นกัน จากการทดสอบทั้งในสนามและบนถนน ให้ความรู้สึกหนืดตามรอบเครื่องและความเร็วได้ดีพอสมควร เนื่องจากแรงม้าไม่ได้เยอะเท่ากับ YZF-R1 ก็แล้วแต่เจ้าของรถแต่ละท่านว่าต้องการจะเปลี่ยนไปใช้ของ After Market หรือไม่

TEST TEST…

การคอนโทรล

ตามสไตล์รถเน็คเก็ตไบค์โพซิชั่นการขับขี่นั่งตัวตรงก้มตัวเล็กน้อย แฮนด์กว้างๆวางมือแบบสบายๆ สิ่งแรกที่เราสัมผัสความแตกต่างได้จากรุ่นน้องอย่าง MT-07 , MT-09 คือ การถ่ายน้ำหนักของตัวรถหน้าหลังหรือบาลานซ์ของ MT-10 นั้นทำได้ดีมาก

ถึงแม้ตัวรถจะมีน้ำหนักที่ 210 กิโลกรัมก็ตาม แต่เมื่อเทสไรเดอร์ได้ขึ้นคร่อมแล้วรู้สึกว่าน้ำหนัก แทบจะลงที่กึ่งกลางของตัวรถเลย ซึ่งข้อนี้เป็นผลดีช่วยเรื่องของจุดศูนย์ถ่วงตัวรถในการเข้าโค้ง ทำให้เข้าโค้งได้ง่าย ผลิกรถในโค้งได้เร็ว การเลี้ยวหรือเดินคันเร่งในโค้งจะช่วยให้ช่วงล่างทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การขับขี่ที่ความเร็วสูงระดับ 200++ ด้วยสไตล์ที่รถเป็นแบบเน็คเก็ตการโดนลมปะทะ หรือโต้ลมเป็นเรื่องปกติ ก็อาจจะต้องมีการหมอบบ้างเป็นธรรมดาหากจะซิ่งในความเร็วสูง ไม่เช่นนั้นจะมีอาการเมื่อยแขนเมื่อยตัวได้

การตอบสนองของเครื่องยนต์

ก่อนที่ทีมงานจะได้ทดสอบ MT-10 ครั้งนี้ เราเคยได้ทำการทดสอบ Yamaha R1 และ R1M ครั้งแรกในไทยมาแล้ว คาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ Crossplane ของ MT-10 นั้นเหมือนกันเลยทีเดียว รอบเครื่องตั้งแต่ 1,000 รอบขึ้นไปจนถึง 6,000 รอบ ให้ความรู้สึกสมูทๆดึงๆแบบไม่มีพิษสงอะไรมากนัก แต่หลังจาก 6-7,000 รอบไปแล้ว จากหนังดราม่ากลายเป็นหนังแอคชั่นขึ้นมาทันที เกียร์ 1 ที่ 7-8,000 รอบนั้น คุณจะพบกันอาการ ”ยกล้อ” แบบไม่ตั้งใจหากคุณกดคันเร่งม้วนเดียวแบบไม่ยกตั้งแต่รอบต่ำๆ

คันเร่งไฟฟ้าของ MT-10 ให้การควบคุมได้อย่างละเอียดดั่งใจสั่ง ยกล้อหราาา ก็เตะเกียร์ 2 เดินคันเร่งล้อลอยไปต่อเซ่ (อาการแบบนี้คุณจะพบเจอได้ที่ Mode B นะฮะ) รอบเครื่องจากกลางๆถึงเรดไลน์นั้นแค่ชั่วพริบตาแบบน้องๆรถสปอร์ตเลยทีเดียว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นคือ “การเดินคันเร่งในโค้ง” ได้อย่างรวดเร็วซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเครื่อง Crossplane ที่ทีมงานเคยประทับใจมาจาก R1 2016 ได้ถูกถ่ายทอดมาสู่ MT-10 อย่างหมดจด

ลักษณะนิสัยของเครื่องยนต์ Crossplane ที่ต้องพบเจอคือเรื่องของ Engine Brake (เอนจิ้นเบรค) หากคุณซัดรถมาอย่างเร็วแล้วเบรค เชนเกียร์ลง คุณจะรู้สึกว่าเอนจิ้นเบรคของเครื่องยนต์มีน้อยมาก ซึ่งทำให้คุณต้องใช้การเบรคจากระบบเบรคมากกว่าปกติ ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์แบบสี่สูบเรียงปกติ ผู้ใช้ต้องปรับตัวทำความคุ้นเคยกันเล็กน้อยซึ่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนะ

การตอบสนองของระบบกันสะเทือน

โช้คหน้าเป็นของยี่ห้อ KYB แบบ Upside Down ขนาด 43 มิลลิเมตร และโช้คหลังแบบ Link-Type Monocross ของ MT-10 นั้นทางยามาฮ่าจับยกชุดมาจากรุ่น R1 ตัวปกติ ซึ่งการตอบสนองโดยรวมอยู่ในระดับ “เหลือเหลือ” เนื่องจากเครื่องยนต์ถูกปรับลดแรงม้าลง

ฟิวการขี่ให้ความรู้สึกแบบหนักแน่นนุ่มนวลไม่ต่างจากรถสปอร์ตท็อปคลาสอย่าง R1 การฟูลเบรคหน้าอย่างหนักหน่วงช่วงสุดทางตรงของสนาม โช้คหน้าก็รับหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีออกอาการให้รู้สึกแต่อย่างใด การเข้าโค้งที่ระดับความเร็ว 200+ โช้คหลังก็ทำงานได้อย่างมั่นคงอีกเช่นกัน ตอนเราทดสอบนั้นถึงแม้การเซ็ทติ้งค่าความหนืดของโช้คจะอยู่แค่ในระดับกลางๆ ก็แสดงให้เห็นว่ายังสามารถที่จะรับคนขี่ที่มีน้ำหนักตัวมากๆได้อีกนะ เพราะตัวโช้คถูกออกแบบมาให้ปรับได้ครบสูตรทั้งหน้าและหลัง

ระบบเบรค

คาลิปเปอร์ล่าง Yamaha By Brembo ของ MT-10 ก็ยกชุดมาจาก YZF-R1 อีกเช่นกัน คงไม่ต้องอธิบายสรรพคุณอะไรกันเยอะพูดได้สั้นๆว่า “หยุดมั่นใจ” ได้อย่างแน่นอน แต่ทีมงานยังคงมีข้อแนะนำเช่นเคยในเรื่องของการเปลี่ยนสายถักจากของเดิมติดรถที่เป็นแบบยาง ไปใช้สายถักแบบของ After Market เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเบรคได้อย่างเต็มที่ให้คุ้มกับที่อุปกรณ์หลักดีอยู่แล้ว

ระบบเบรค ABS ของ MT-10 เทสไรเดอร์ชอบเบรคหลังเป็นอย่างมาก ซัดมาแบบเต็มๆแล้วกดเบรคหลังบนถนนแอสฟัลท์ที่ลื่นๆมันๆ ระบบ ABS ให้การตอบสนองที่เท้าได้อย่างนุ่มสมูทไร้ที่ติมากๆ ไม่มีอาการกระตุกๆแรงๆที่เท้าเหมือนบางยี่ห้อ น่าจะต้องยกความดีนี้ให้กับ ECU อันชาญฉลาดของ Bosch

ยางติดรถ

MT-10 ใส่ยางติดรถเป็นของยี่ห้อบริดจสโตนรุ่น Battlax Hypersport S20R ยางหน้าขนาด 120/70 ZR17 M/C (58W) ยางหลัง 190/55 ZR17 M/C (75W) ซึ่งยางรุ่นนี้เทสไรเดอร์ได้เคยทำการทดสอบมาหลายครั้งแล้ว โดยเป็นอยากที่ติดรถสปอร์ตทั้งค่ายเยอรมัน และค่ายญี่ปุ่น เรื่องคุณภาพและการใช้งานทำได้ดีทุกสภาวะถนน ให้ความรู้สึกในการเกาะถนนได้อย่างมั่นใจ ยกเว้นไปเจอถนนแอสฟัลท์ที่พื้นเงาๆมันมากๆ ก็ลื่นเป็นปกติ

ข้อดี

• บาลานซ์รถดี คอนโทรลได้ง่าย ระบบกันสะเทือนดี
• ระบบอิเล็คทรอนิกส์ครบครัน ตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• รูปทรงดูล้ำสมัยไปอีกหลายปีไม่มีเอ้าท์

ข้อแนะนำ

• เบาะคนซ้อนขนาดเล็กเกิน แถมเบาะคนขี่ก็แข็งไปหน่อย
• เรือนไมล์สีของจอแสดงผลจืดเกินไป น่าจะแสดงผลได้หลายสีแบบรุ่น YZF-R1 จะได้ดูล้ำๆเข้ากับรูปทรงของตัวรถ
• ผู้ขับขี่ควรปรับตัวเข้ากับลักษณะของเครื่องยนต์ Crossplane และระบบเบรคก่อนที่จะใช้ความเร็วสูง

ชมภาพ และข้อมูล  Yamaha MT-10 แบบเจาะชัดทุกสัดส่วน ได้ที่ >> Preview Yamaha MT-10

อ่าน Reviews เพิ่มเติมที่นี่

อ่านข่าว Yamaha เพิ่มเติมที่นี่

เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่

Website : motowish.com 

Facebook : facebook.com/motowish