รีวิว Kawasaki Ninja ZX-4R SE แรงเต็มข้อ 77 ม้า ท็อปสปีด 240 กม./ชม.
เรียกได้ว่าห่างหายกันไปนานสำหรับรถสปอร์ตจากค่ายคาวาซากิ ที่บรรดาสาวกเรียกร้องรอคอยรุ่นนี้กันมานาน หลังจากที่ได้ปล่อย Ninja ZX-25R น้องเล็กเสียงลั่นลงสู่ท้องถนน ก็ถึงตาพี่ชายเครื่องบล็อค 4 สูบเรียงตัวเก่งตัวจริงของคาวาซากิกันเสียที
รูปทรงภายนอก
สำหรับ Ninja ZX-4R สีเขียวที่เห็นในรูปนี้จะเป็นรุ่น SE (Full Option) ลวดลายทีมแข่ง KRT ทางคาวาซากิยังคงการออกแบบรูปทรงลายเส้นต่างๆ ให้คงคอนเซ็ปตามแบบฉบับตระกูล Ninja โมเดลล่าสุดไม่หลุดธีม มีความสวยงามดุดันสปอร์ตเต็มพิกัด
ขนาดตัวรถยาว – 1,990 มิลลิเมตร
ขนาดตัวรถกว้าง – 765 มิลลิเมตร
ขนาดตัวรถสูง – 1,110 มิลลิเมตร
ระยะห่างช่วงล้อ – 1,380 มิลลิเมตร
ระยะห่างจากพื้น – 135 มิลลิเมตร
ความสูงจากพิ้นถึงเบาะนั่ง – 800 มิลลิเมตร
น้ำหนักสุทธิ – 188 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง – 15 ลิตร
โครงสร้างเฟรมแบบ Trellis Frame (เฟรมถัก) ตัวรถออกแบบใหม่ โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรถแข่ง Ninja ZX-10RR ในรายการ WorldSBK นำมาปรับขนาดและตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงเครื่องยนต์ จุดยึดสวิงอาร์ม ให้เหมาะสมกับ Ninja ZX-4R
ไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้าย LED จัดมาให้เต็มระบบ ส่วนแรมแอร์ที่อยู่ตรงกลางหน้ากากถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรุ่นตัวแรงพี่ทุกสถาบันอย่าง Ninja H2
โดย Ram Air System ของตัวรถสามารถเพิ่มแรงม้าได้จากเดิม 75 แรงม้า ที่ 14,500 รอบ/นาที เป็น 77 แรงม้า โดยทางคาวาซากิยังบอกอีกว่าอาจจะได้ถึง 78 แรงม้า!!
หน้าจอ TFT ขนาด 4.3 นิ้ว เหมือนหน้าจอของแต่งพวก After Market ซึ่งสามารถเลือกได้ 2 โหมด (Normal พื้นจอสีขาว, Circuit พื้นจอสีดำ) ในส่วนของหน้าจอแสดงผลดีเทลเพียบทั้ง ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ตําแหน่งเกียร์ ชิฟไลท์ ระดับน้ํามันเชื้อเพลิง ระยะทาง อุณภูมิน้ําหล่อเย็น นาฬิกา แบตเตอรี่ เวลาต่อรอบ โหมดการขับขี่ ควิกชิพเตอร์ และอื่นๆ
Ninja ZX-4R มีโหมดในการขับขี่ 4 โหมด ด้วยกันดังนี้
- Sport : โหมดที่ให้กําลังสูงสุดเหมาะกับการขับขี่แบบสปอร์ตและลงสนาม KTRC 1 , Power FULL
- Road : เหมาะกับการขับขี่ทุกสถาณการณ์และบนถนน KTRC 2 , Power FULL
- Rain : เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนพื้นถนนเปียกลื่น KTRC 3 , Power LOW
- Rider : ผู้ขับขี่สามารถปรับเลือก KTRC และ Power Mode ได้เอง KTRC 1 / 2 / 3 / OFF , Power FULL / LOW
KTRC แบ่งเป็น 4 โหมด ด้วยกันดังนี้
- OFF : ปิดการทํางานของ KTRC
- Mode 1 : ระบบสามารถให้ล้อหลังสไลด์หรือหมุนฟรีได้ตามที่กําหนด โดยให้ความสําคัญกับอัตราเร่งและการทําความเร็ว
- Mode 2 : ระบบให้ล้อหลังสไลด์ได้น้อย เพื่อความสมดุลระหว่างอัตราเร่งและความปลอดภัยในการขับขี่
- Mode 3 : ระบบตัดการสไลด์ของล้อหลัง ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยในการขับขี่ สูงสุดปรับให้การส่งกําลังนุ่มนวล
หน้ําจอ TFT มี Built in Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับมือถือของผู้ใช้รถ โดยเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่น “RIDEOLOGY” ซึ่งมีฟังก์ชั่นดังนี้
- Vehicle Info : แสดงข้อมูลรถผ่านแอพบนมือถือ
- Riding Log : แสดงเส้นทางการขับขี่ของผู้ขับขี่
- Telephone Notice : เตือนผู้ขับขี่ว่ามีสายเข้า หรือ อีเมลล์เข้า
- Tuning General Setting : ตั้งค่าหน้ําจอผ่านแอพพลิเคชั่น
สวิทช์ฝั่งซ้าย : สวิทช์ไฟสูง–ต่ำ, ไฟฉุกเฉิน, ไฟเลี้ยว, แตร, ปุ่มจับเวลาต่อรอบ (LAP), ปุ่มเลื่อนขึ้น-ลง
สวิทช์ฝั่งขวา : สวิทช์ปิด-เปิด, สวิทช์สตาร์ท, ปุ่ม SELECT
รูปภาพมุมซ้ายล่าง จะสังเกตตำแหน่งแฮนด์จับใต้แผงคอ สไตล์รถสปอร์ต
โช้คหน้าหัวกลับยี่ห้อ SHOWA ขนาด 37 มิลลิเมตร แบบ (SFF- BP) ใช้ลูกสูบในแกนโช้คขนาดใหญ่ออกแบบใหม่โดยเฉพาะ Ninja ZX-4R
*โดยในรุ่น SE สามารถปรับ Preload ที่โช้คอัพหน้าได้
โช้คหลังเป็นแบบ Horizontal Back-Link ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรุ่นพี่ Ninja ZX-10R สามารถปรับ Preload ได้
คาลิเปอร์เบรกคู่หน้ายี่ห้อ NISSIN รุ่นใหม่ตีตรา Kawasaki ซึ่งทางนิชชินได้ออกแบบมาเพื่อ ZX-4R โดยเฉพาะเป็น Radial Mount Monobloc แบบ 4 ลูกสูบ พร้อมจานเบรกหน้าเป็นแบบดิสก์คู่ Semi Floating ขนาด 290 มิลลิเมตร คือเป็นแบบกึ่งให้ตัวได้เพื่อการเบรคที่ดีกว่าจานแบบปกติ
ล้อแม๊กซ์ลาย 5 ก้าน รีดน้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแรงไว้อย่างดีเยี่ยม
เบรกหลังลูกสูบขนาด 38 มิลลิเมตร ยี่ห้อ NISSIN พร้อมจานเบรกขนาด 220 มิลลิเมตร ระบบเบรกถูกควบคุมด้วย ABS Unit รุ่นใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ZX-4R อีกเช่นกัน
ยางรับหน้าที่จบด้วยยี่ห้อ Dunlop รุ่น Sportmax GPR300 ที่มีกริปยางสำหรับสภาพถนนเปียกและแห้ง พร้อมทั้งระยะทางที่วิ่งได้ไกล
ขนาดยางหน้าขนาด 120/70ZR17M/C (58W)
ขนาดยางหลัง 160/60ZR17M/C (69W)
เครื่องยนต์ของ ZX-4R แบบ DOHC 4 ลูกสูบ 16 วาวล์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ทางคาวาซากิออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เสื้อสูบ ฝาสูบ ข้อเหวี่ยง แคร๊งเครื่องยนต์ มาพร้อมกับขนาดความจุเกือบเต็มพิกัดที่ 398 ซีซี ให้กำลัง 75 แรงม้า ที่ 14,500 รอบ/นาที แรงบิด 37.6 นิวตันเมตร ที่ 12,500 รอบ/ นาที ทางคาวาซากิเคลมเรดไลน์ของเครื่องยนต์บล็อคนี้สามารถปั่นได้สูงเกินกว่า 15,000 รอบ/นาที โอ้โห้หห!! นึกว่าขี่รถ Supersport 600 ซีซี
ระบบเกียร์ 6 สปีด พร้อมชุดคลัทช์ Assist & Slipper Clutch (สลิปเปอร์คลัทช์) ทำให้เข้าเกียร์ได้อย่างนุ่มนวล ลดอาการล็อหลังล็อคและเพิ่มอัตราเร่งในการออกจากโค้งได้ดีขึ้น
กล่อง ECU ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับ Ninja Z H2 และระบบ ETV (Electronics Throttle Valves) มีขนาดใหญ่ถึง ø34 มิลลิเมตร ทำให้การควบคุมของระบบเป็นไปอย่างแม่นยำ พอร์ทไอดีออกแบบใหม่ใกล้เคียงกับรุ่น Ninja ZX-10R
Kawasaki Quick Shifter (KQS) ที่ติดตั้งมากับ Ninja ZX-4R สามารถใช้ได้ทั้ง Shift-Up และ Shift-Down (เฉพาะรุ่น SE ) ทําให้การเข้าเกียร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล โดยไม่ต้องเสียเวลากำคลัทช์ หากไม่ต้องการใช้งาน KQS ก็สามารถปิดการทำงานของระบบได้
* การทำงานของควิกชิฟ สามารถทำงานได้ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 2,500 รอบขึ้นไป
หม้อน้ำขนาดใหญ่ ฟินซอยถี่ยิบเพื่อการระบายความร้อนได้ดี เหมาะสมกับประเทศที่ร้อนโ_ตรๆอย่างบ้านเรา
ท่อไอเสียถอดแบบความแรงจาก Ninja ZX-6R เพื่อการระบายไอเสียที่รวดเร็ว และรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์สูงสุด พร้อมเสียงที่นุ่มนวล โดยไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด
เริ่มทดสอบ!!
สำหรับการทดสอบเจ้า Ninja ZX-4R ในครั้งนี้ทาง บจ.คาวาซากิ เอ็นเตอร์ไพรส์ จัดขึ้นที่ สนามพีระ เซอร์กิต พัทยา สำหรับการทดสอบแบ่งออกเป็น 3 รอบ
โพซิชั่นท่านั่งในการขับขี่ ฟิลลิ่งแรกที่รู้สึกได้อารมณ์สปอร์ตมาเต็ม แต่ยังคงให้ความสบายจากตำแหน่งเบาะนั่งที่ไม่ได้สูงมากจนเกินไป ระยะห่างจากพื้นถึงเบาะนั่ง 800 มิลลิเมตร เทสไรเดอร์สูง 170 ซม. วางเท้าแบบสบายๆ
รันแรกพร้อมแล้วลุ๊ยย!!
ระยะเวลาในการทดสอบต่อรอบประมาณ 30 นาที สนามพีระ มีความยาวต่อรอบ 2.4 กิโลเมตร มีทั้งหมด 13 โค้ง เป็นโค้งขวาซะส่วนใหญ่ เทสไรเดอร์ตั้งค่าใน Mode Sport KTRC 1 , Power FULL
เนื่องจากรถ Ninja ZX-4R ที่ทำการทดสอบในครั้งนี้ เป็นรถใหม่แกะกล่องกริ๊ปๆ ฉะนั้นแล้วรันแรกก็วอร์มๆรถ เปิดหน้ายาง และรันอินผ้าเบรกจานเบรกกันไปพลางๆก่อน อย่าเพิ่งใส่เต็มเดี๊ยวจะกระเด็นไปลงบ่อกรวดเอาได้
การคอนโทรล
ถ้าไม่บอกว่าตัวรถ ZX-4R มีน้ำหนัก 188 กิโลกรัม อาจจะคิดว่ากำลังขี่รุ่น Ninja 400 ที่น้ำหนัก 160 กว่ากิโลกรัมอยู่ เพราะจังหวะในการเลี้ยวเข้าออกโค้ง หรือช่วงพลิกรถในโค้ง S1 , S2 รถให้ความรู้สึกเบาควบคุมได้ง่ายมาก ไม่ต้องออกแรงเพื่อบังคับรถอะไรมากมาย ก็ไปตามไลน์สนามได้สบายๆ
แฮนด์ของ ZX-4R ถึงแม้จะติดตั้งใต้แผงคอแบบรถสปอร์ต แต่ก็ไม่ได้กดต่ำมาก ตำแหน่งการวางมือกึ่งไปทางสปอร์ตทัวร์ริ่ง พักเท้าวางในตำแแหน่งกำลังพอดี ไม่ต่ำแบบเทโค้งแล้วครูดพื้นจนน่ารำคาญ มีเฉียดๆบ้างแต่ก็เอียงรถเข้าโค้งได้จนหมดหน้ายาง
ZX-4R ความสูงจากพื้นถึงเบาะนั่ง 800 มิลลิเมตร สูงกว่า ZX-25R (785 มิลลิเมตร) ได้อารมณ์สปอร์ตเรซซิ่งมากกว่า
ไปต่อกันที่รันสอง เปิดหน้ายางเรียบร้อยพร้อมหวด เบรกยังรันอินไม่ได้ที่แต่ไม่ใช้ปัญหา เพราะไม่ได้ขี่แข่งทำเวลา
การตอบสนองของเครื่องยนต์
Ninja ZX-4R ให้การตอบสนองของเครื่องยนต์ได้ดีตั้งแต่รอบต่ำๆ แรงบิด 37.6 นิวตันเมตร มีมาให้ใช้แบบไม่ต้องเรียกหา ทดสอบจากการกดคันเร่งช่วงขึ้นเขาถึงแม้จะใช้เกียร์สูงก็ตาม รถยังคงทำความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกได้ดีกว่ารถ Supersport 600 ซีซี ที่ต้องคอยขี่เลี้ยงรอบอยู่ตลอดเวลา
จังหวะเดินคันเร่งออกจากโค้ง 12 ด้วยเกียร์ 2 ความเร็วต่ำ กดคันเร่งแล้วเตะเกียร์ 3 ผ่านโค้ง 13 ออกสู่ทางตรงเตะเกียร์ 4 ต่อ ระบบชุดเกียร์ให้ความต่อเนื่องได้ดี ไม่มีอาการรอรอบให้เสียอารมณ์ แรงบิดและความเร็วมาทันใจทุกเกียร์ ถือว่าทำได้ดีมาก
เทสไรเดอร์ลองกดท็อปสปีดช่วงสุดทางตรง สนามพีระ เซอร์กิต ที่ระยะทางไม่ได้ยาวมาก ไม่น่าเชื่อว่ารถพิกัดแค่ 400 ซีซี อย่าง ZX-4R สามารถทำความเร็วได้เกือบ 200 กม./ชม. ที่เกียร์ 4 รอบเครื่องแตะ 15,000 รอบ/นาที จริงๆถ้าเบรกรันอินได้ที่กดคันเร่งลงเขาลึกไปอีกน่าจะทำได้ 210 กม./ชม. แต่เพลย์เซฟเอาแค่นี้พอ
ซึ่งความเร็วท็อปสปีดน้อยกว่ารุ่นพี่ ZX-6R (ทดสอบเมื่อปี 2018) ที่เทสไรเดอร์เคยกดคันเร่งได้ความเร็ว 220+ กม./ชม. ก็ถือว่าไม่ต่างกันมากนะขนาดเครื่องยนต์ต่างกันตั้ง 200 ซีซี
เทสไรเดอร์คิดว่าถ้าลองเอา ZX-4R ไปทดสอบที่ สนามช้าง เซอร์กิต ช่วงสุดทางตรงก่อนเข้าโค้ง 3 น่าจะทำความเร็วได้ถึง 240 กม./ชม. ไว้มีโอกาสจะลองจัดให้ชมกัน!!
ช่วงลงเขาโค้ง 1 ความเร็วสูง ลองลดเกียร์จากเกียร์ 4 เหลือเกียร์ 2 ชุดสลิปเปอร์คลัทช์เก็บอาการรถได้ดี ท้ายรถไม่มีอาการดีดดิ้นให้กังวลใจในการควบคุมรถ
ระบบอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับระบบควิกชิฟเตอร์ของ ZX-4R สามารถเตะเกียร์ได้ทั้งขึ้นและลง (สำหรับรุ่น SE) ที่รอบเครื่องเกิน 2,500 รอบ/ นาที ความรู้สึกตอนเข้าเกียร์ไม่ถึงกับนุ่มมากและก็ไม่ได้แข็งเข้ายากเหมือนรถบางรุ่น เทสไรเดอร์ชอบความรู้สึกประมาณนี้นะ เพราะถ้านุ่มจนเกินไปบางทีจะรู้สึกไม่มั่นใจว่าเกียร์ได้เข้าแล้วหรือยัง
ตลอดเวลาช่วงการทดสอบ 3 รัน 1.30 ชั่วโมง ไม่มีจังหวะไหนที่เกียร์ไม่เข้า ระบบ KQS เข้าได้ทุกเกียร์ ทุกโค้ง ทุกช็อตที่ต้องการ ทำงานได้อย่างต่อเนื่องไม่มีอาการสะดุดเสียจังหวะเลย การเทครถออกจากโค้งช่วงรถเอียงๆอยู่ก็เตะเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างง่ายดาย
เทสไรเดอร์ตั้งค่าการขับขี่ไว้ที่ Mode Sport KTRC 1 , Power FULL ไม่ได้ลองโหมดอื่นๆเนื่องจากโหมดอื่นแรงม้าแรงบิดจะน้อยกว่านี้ ทดสอบรถสปอร์ตก็ใส่เต็มพิกัดได้เลยจะได้รู้เรื่อง
KTRC ของคาวาซากิถือว่าไว้ใจได้ จังหวะเปิดเต็มคันเร่งออกโค้ง 12 ที่เกียร์ 2 รอบเครื่องช่วงกลางๆไปจนสุดเรดไลน์แล้วเตะเกียร์ 3 ต่อ ท้ายรถมีอาการสไลด์เล็กน้อยแต่ระบบ KTRC ก็ตัดการเสียอาการได้อย่างรวดเร็ว
ระบบกันสะเทือนและช่วงล่าง
ทางคาวาซากิไม่ได้ปรับเซ็ตโช้คของ ZX-4R สำหรับการขี่บนแทรค แต่ตั้งค่าระดับกลางๆไว้ทั้งโช้คหน้าและโช้คหลัง เพื่อให้ได้ทดสอบกันแบบอารมณ์กึ่งสนามกึ่งถนน ซึ่งเทสไรเดอร์ลองขี่แบบเต็มคันเร่ง โช้คหน้าถือว่าสอบผ่าน!! ยกลึกลงเขาแล้วเบรกที่โค้ง 1 โช้คหน้าซัพแรงได้อย่างมั่นคง อารมณ์เหมือนขี่ตัวพัน
อาจจะมีบางจังหวะที่โช้คยุบตัวเยอะไปแต่ก็ยังคอนโทรลรถได้ไม่ยาก โช้คหน้าของ Showa รุ่น SFF-BP ถึงแม้รหัสรุ่นจะเหมือนกันกับรุ่น ZX-25R แต่ชิ้นส่วนภายในนั้นแตกต่างกัน เพื่อการรองรับแรงม้า แรงบิด ที่มากกว่า
ถ้าจะขี่แบบเซอร์กิต โช้คหลังต้องเซ็ตติ้งกันใหม่ เพราะให้ความรู้สึกนิ่มไปหน่อย แต่ถ้าระดับนี้เอาไปขี่ถนนถือว่าเหลือๆ โค้งไฮสปีดอย่าง 100R ไหลไปได้แบบชิลๆ ไม่มีบานออกโค้งให้เสียวสันหลัง โช้คหลังซับแรงสั่นสะเทือนจากผิวแทรคที่ไม่เรียบได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะรู้สึกได้แต่ก็ควบคุมรถได้ง่ายๆ
ระบบเบรก
คาลิปเปอร์ NISSIN Radial Mount Monobloc แบบ 4 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS ให้ความรู้สึกในการกดเบรกแบบระดับกลางๆ ไม่นุ่มไม่แข็งจนเกินไป จังหวะในการหยุดรถช่วงความเร็วสูง ไม่ได้หยุดแบบหัวทิ่มหัวตำ สำหรับการขี่แบบถนนถือว่าเกือบจะพอเพียง หากใครต้องการระยะการหยุดที่สั้นลง และการออกแรงเบรกที่นิ้วน้อยลง แนะนำเปลี่ยนปั้มเบรกตัวบนและสายถักอีก 1 ชุด เป็นอันจบสเตปการเบรกแบบเรซซิ่ง
มุมนี้ลองสังเกตตัวรถ ZX-4R ค่อนข้างเล็กเพรียว แฟรริ่งกระชับลู่ลมได้ค่อนข้างดีช่วงถังน้ำมันจะไม่มีปีกยืนออกมารับล็อคต้นขาเวลาโค้งเหมือน Ninja ZX-6R
ยางติดรถ
Dunlop รุ่น Sportmax GPR300 เป็นยางสปอร์ตสำหรับถนนที่เน้นอายุการใช้งานและความทนทานเป็นหลัก ใช้ได้ทั้งถนนแห้งและถนนเปียก ถึงแม้จะลองเอามาลงขี่สนามยางก็ยังสามารถรับการเข้าโค้งความเร็วสูงได้ค่อนข้างดี
ฟิลลิ่งกริปยางอาจจะไม่ได้นุ่นนวลมากนักตอนสัมผัสผิวแทรค ช่วงเบรกหนักๆและเทครถออกจากโค้งเนื้อยางมีความกระด้างพอประมาณ ซึ่งเป็นปกติของยางถนน แต่โดยรวมก็เป็นยางติดรถที่เอามาลงแทรคแบบสนุกๆได้เหมือนกัน
บทสรุป
พูดได้เต็มปากว่าสำหรับใครที่ต้องการรถสปอร์ตขนาดไม่เกิน 400 ซีซี Ninja ZX-4R เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ด้วยความแรงของเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเบรก ช่วงล่าง คะแนนโดยรวมถือว่าทำได้ระดับ Best Value
ข้อดี
- คาวาซากิทำราคาถือว่าคุ้มค่ามาก
- อุปกรณ์ติดรถให้มาดีมาก
- KQS ได้ทั้ง Shift-Up และ Shift-Down ในรุ่น SE
- ท่านั่งสบายแต่ยังขี่สไตล์เรซซิ่งได้
- รถคอนโทรลง่าย อัตราเร่งดีตั้งแต่รอบต้นยันรอบปลาย
ข้อแนะนำ
- ควรปรับเซ็ตโช้คให้เป็น เพื่อการใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบ
- ถ้าขี่ในสนามควรเปลี่ยนยางเกรดสนาม เพื่อเพิ่มความสนุกยิ่งขึ้น
Kawasaki Ninja ZX-4R 2023
- ราคาวางจำหน่าย ณ เดือนเมษายน 2566
- Ninja ZX-4R SE ราคา 360,000 บาท สีเขียว ลายรถแข่ง KRT (LIME GREEN / EBONY) FULL OPTION
- Ninja ZX-4R ราคา 320,000 บาท สีดำ (METALLIC SPARK BLACK) ไม่มี KQS , โช้คหน้าปรับไม่ได้
- ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นตัวแทนจำหน่าย
- ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
- ค้นหาตัวแทนจำหน่าย Kawasaki เพิ่มที่นี่
ตารางเปรียบเทียบ Ninja ZX-25R : Ninja ZX-4R
MotoWish ขอขอบคุณ
บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด
2499 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 ติดต่อ 02-018-4999
> ผู้ทดสอบ : @Rider 69
อ่านรีวิว Kawasaki Ninja ZX-6R เพิ่มที่นี่
อ่านรีวิว Kawasaki Ninja 400 เพิ่มที่นี่
อ่านข่าว Kawasaki เพิ่มที่นี่
เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่
Website : motowish.com
Facebook : facebook.com/motowish