รีวิว Kawasaki Ninja H2 Trick Star : 258 แรงม้า ขีดสุดของความแรง คันแรกของเมืองไทย Full HD
Kawasaki Ninja H2 คือรถไฮเปอร์ไบค์โปรดักชั่นรุ่น Flagship ที่ทางคาวาซากิบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว และต้องการรถซุปเปอร์ไบค์ที่มีพลังความแรงเหนือใครด้วยระบบ Supercharger ทำให้ผู้ที่ได้ครอบครองบรรลุจุดสุดยอดเข้าถึงอีกมิติของโลกความเร็วระดับเกินกว่า 350 กม./ชม. เรียกได้ว่าความเร็วระดับเครื่องบินๆที่ 0.3 มัค กันเลยทีเดียว
ก่อนที่ทางทีมงานจะเข้าถึงในส่วนของรีวิวรถ Kawasaki Ninja H2 โมเดลปี 2017 สเปคพิเศษคันนี้ ซึ่งผ่านการปรับแต่งโดยสำนักชื่อดัง Trick Star (ทริคสตาร์) จากประเทศญี่ปุ่น สามารถทำแรงม้าได้ถึง 258 แรงม้า ทีมงานจะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับ บริษัทในเครือ คาวาซากิ บางแง่มุมที่น้อยคนจะรู้และยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจผิดในบางเรื่อง ซึ่งเกี่ยวโยงกับรถรุ่น Ninja H2 นี้ด้วย
KHI หรือชื่อเต็ม Kawasaki Heavy Industries (คาวาซากิ เฮฟวี่ อินดรัสทรีส์) คือบริษัทในนามของ คาวาซากิ ที่ผลิตเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ระดับโลก ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินพาณิชย์ เฮลิคอปเตอร์ เรือเดินสมุทร รถไฟความเร็วสูง หัวเจาะอุโมงค์ขนาดยักษ์ใต้ดิน แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล แขนหุนยนต์ที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างอุตสาหกรรม และพลังงานทางเลือกอื่นๆอีกมากมาย
พอได้อ่านชื่อเครื่องจักรและธุรกิจที่ทาง คาวาซากิ โกลบอล ดำเนินกิจการด้านบนไปแล้วนั้น ลองมองย้อนกลับมาถึงธุรกิจรถจักรยานยนต์ที่ทาง คาวาซากิ ผลิตขึ้นมาดูจะมีขนาดเล็กลงไปในทันทีทันใด และที่หลายๆคนยังคงพูดกันถึงเรื่อง “ทำไมคาวาซากิไม่ลงแข่งขันรายการ MotoGP” มีหลายคนที่ยังเข้าใจผิดและสื่อสารต่อๆกันไปว่า “การแข่งขันใช้เงินลงทุนเยอะเป็นร้อยล้าน คาวาซากิคงไม่ไหวหรอก”
ในรูปคือรถแข่ง MotoGP ของคาวาซากิรหัส ZX-RR ซึ่งเป็นการขับขี่ของนักแข่งที่ชื่อ Shinya Nakano No.56 (ชินย่า นากาโน่) ลงทำการแข่งขันในโมโตจีพีช่วงปี 2004 – 2006 ถ้าใครเป็นแฟนๆโมโตจีพีอายุ 35-40 อัพคงจะรู้จักนักแข่งคนนี้กันดี
เจอแบบนี้ไปคงจะต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่เลยทีเดียว ไม่ใช่ไม่มีเงินในการลงแข่งขันนะ แต่เป็นเพราะทางผู้บริหาระดับสูงของคาวาซากิ “ยังไม่มีนโยบายให้ลงทำการแข่งขันรถโปรโตไทป์” เพราะมองที่ความคุ้มค่าของผลตอบรับมากกว่า และเพราะทางคาวาซากิมุ่งเป้าการแข่งขันไปที่รถโปรดักชั่น (รถที่วางจำหน่ายทั่วไป) ซึ่งผลงานใน WorldSBK กับความสำเร็จเป็นแชมป์โลก 3 สมัยซ้อนจากฝีมือการหวดคันเร่งของนักแข่ง โจนาธาน เรีย ด้วยรถ Kawasaki Ninja ZX-10R และรุ่น RR เป็นเครื่องการันตีถึงสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมของตัวรถ และนักแข่งได้อย่างแท้จริง ยังไม่นับรายการรองอย่าง AMA , BSB อีก
ซึ่งส่งผลโดยตรงแบบไม่ต้องเขียนพิมพ์เขียวกันใหม่ให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย กับการที่จะพัฒนาและทำให้รถ ZX-10R , ZX-10RR ได้รับความนิยมจากแฟนๆสายสปอร์ตอย่างดีเยี่ยม รวมทั้งยอดขายรถที่ตามมาอย่างท่วมท้นนั้นเอง
เกริ่นนำพาเพื่อนๆขึ้นเรือเดินสมุทรของคาวาซากิออกทะเลกันไปพอสมควร วกกลับเข้าฝั่งมาถึงเรื่องรถที่จะทำการรีวิวในครั้งนี้กันดีกว่า Kawasaki Ninja H2 เปิดเผยสู่สาธารณชนในปี 2015 เป็นครั้งแรกนั้น ได้รับการกล่าวขานจากไบค์เกอร์สายท็อปสปีดถึงกับซู๊ดดปากร้อง เมื่อเจอรถซุปเปอร์ไบค์ที่ติดตั้งระบบ Supercharger (ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์) มาให้เบ็ดเสร็จจากโรงงาน
โดยความร่วมมือการผลิตของ 3 บริษัทในเครือคาวาซากิ คือ Gas Turbine & Machinery Company (ผลิตเครื่อจักรกลเกี่ยวกับเชื้อเพลิงก๊าซให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน) , Aerospace Company (ออกแบบอากาศยาน), และ Corporate Technology Division (ศูนย์รวมเทคโนโลยีขององค์กร) เป็นการร่วมมือของบริษัทในเครือระดับอากาศยานขั้นสุดยอด เพื่อทำให้รถไฮเปอร์ไบค์ Ninja H2 เป็นสุดยอดรถโปรดักชั่นที่สุดยอดที่สุดแบบหาใครเทียบได้ยากยิ่ง
พื้นฐานการออกแบบ
ขออธิบายหลักการทำงานและข้อแตกต่างระหว่าง Supercharger และ Turbo สรุปในแบบสั้นๆเพื่อความเข้าใจอย่างง่าย เพราะยังมีไบค์เกอร์อีกมากที่เข้าใจว่า Ninja H2 ติดตั้งระบบเทอร์โบมาจากโรงงาน (ในรูปจะสังเกตว่าช่องแรมแอร์ จะมีเฉพาะทางด้านซ้ายมือผู้ขับขี่ เพื่อดูดอากาศเข้าสู่ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์)
การทำงานของระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ ใช้หลักการหมุนเพื่อดูดอากาศ (ไอดี) เพื่อเพิ่มแรงดันของอากาศส่งผ่านไปยังห้องเผาไหม้ โดยใช้สายพานคล้องกับเพลาข้อเหวี่ยงเพื่ออาศัยแรงหมุนจากเครื่องยนต์ในการปั่น หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแล้วแต่ผู้ออกแบบระบบ ซึ่งแบ่งแยกออกไปตามกลไกของการทำงานได้อีกหลายชนิด
การทำงานของระบบเทอร์โบ ใช้หลักการหมุนเพื่อดูดอากาศ (ไอดี ,ไอเสีย) เพื่อเพิ่มแรงดันของอากาศส่งผ่านไปยังห้องเผาไหม้เช่นกัน แต่จะต้องมีอุปกรณ์ร่วม เวสเก็ต เพื่อควบคุมแรงดันให้เหมาะสมและมี โบออฟวาล์ว ไว้คอยคายแรงดันส่วนเกินไม่ให้ไหลย้อนกลับเข้าเทอร์โบ ซึ่งระบบเทอร์โบนั้นสามารถแบ่งแยกเป็นระบบเทอร์โบยุคเก่า และระบบเทอร์โบยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีหลากหลายเพื่อช่วยแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆได้อีก
ทำไมคาวาซากิถึงเลือก Supercharger (ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์) ติดตั้งในรถจักรยานยนต์แทนที่จะใช้ เทอร์โบ เพราะการทำงานระบบซุปเปอร์ชาร์จเจอร์นั้นมีข้อดีอยู่หลายอย่างเช่น
1.พื้นฐานระบบการทำงานที่ไม่ซับซ้อน อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมในระบบน้อยชิ้นกว่า ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ในการติดตั้งและน้ำหนักเบากว่า
2.รอบเครื่องยนต์สมูท และควบคุมได้ง่ายกว่าระบบเทอร์โบ
3.การดูแลรักษาระยะยาวทนทานกว่าระบบเทอร์โบ
ระบบซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับรถซุปเปอร์ไบค์ แต่มั่นใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ คาวาซากิ แต่อย่างใดเพราะ…
บริษัทในเครือคาวาซากิที่ชื่อ Gas Turbine & Machinery Company มีความเชี่ยวชาญในระบบเครื่องยนต์เจ็ต แบบก๊าซเทอร์ไบน์ซึ่งติดตั้งอยู่ในเครื่องบิน หลักการทำงานในเรื่องของกันหันเทอร์ไบน์นั้น สอดคล้องกับระบบซุปเปอร์ชาร์จ ซึ่งเปรียบเทียบความยากง่ายของการผลิตแล้ว ประดุจดั่งสร้างตึกระฟ้ากับอพาร์ทเม้นท์ก็ไม่ปาน ส่วนใครที่อยากรู้วิธีการทำงานของกันหันเทอร์ไบน์เป็นยังไงลองหาข้อมูลกันดูเอาเอง เพราะถ้าให้อธิบายอีกเดี๊ยวจะไม่ได้อ่านรีวิวรถกันพอดี มาถึง ณ จุดๆนี้เพื่อนๆก็คงจะบ่นกันแล้วว่าเทสไรเดอร์นี้ก็พาขึ้นเครื่องบินวนออกทะเลอีกรอบละ 555+
โครงสร้างเฟรมรถ Ninja H2 ใช้เฟรมลักษณะแบบถัก Trellis โดยเลือกใช้วัสดุที่แข็งแรง และรองรับแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด อย่าดูถูกรูปร่างด้วยสายตา เพราะเฟรมลักษณะนี้ทางค่ายดังฝั่งยุโรปก็เลือกใช้เช่นเดียวกัน
เครื่องยนต์
Ninja H2 ใช้ความจุเครื่องยนต์ขนาด 998 ซีซี 4 ลูกสูบ 16 วาล์ว 6 เกียร์ คลัชต์แบบเปียกซ้อนกันหลายแผ่น ไม่ต้องขยายความจุกระบอกสูบให้วุ่นวาย แต่คาวาซากิเลือกใช้ซุปเปอร์ชาร์จเข้ามาเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์แทน
และที่พิเศษสุดสำหรับ Ninja H2 คันนี้คือ กล่องควบคุม ECU ผ่านการอัพเกรดจากสำนักแต่ง Trick Star ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งชุดคิทจนสามารถทำแรงม้าได้ถึง 258 แรงม้า พูดได้เต็มปากว่า “แรงม้าระดับรถโมโตจีพี” เลยทีเดียว
รูปลักษณ์ภายนอก
โลโก้บนหน้ากากรถ Ninja H2 ที่ดูแปลกตาสำหรับไบค์เกอร์รุ่นใหม่ๆอาจจะไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน
ซึ่งโลโก้แบบนี้เป็นโลโก้ของทาง คาวาซากิ เฮฟวี่ อินดรัสทรีส์ ที่อยู่บนเรือเดินสมุทร อยู่บนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ รวมทั้งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์คาวาซากิในยุคแรกเริ่มต้นของสายการผลิต เรียกได้ว่ามีเรื่องราวยาวนานข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียว สื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสายการผลิตเครื่องจักรออกสู่สายตาชาวโลก
ระบบกันสะเทือน
โช้คอัพหน้าของเดิมจะเป็นยี่ห้อ KYB ขนาด 43 มิลลิเมตร ซึ่งสามารถปรับค่าได้ครบทุกระบบ แต่เพื่อการรองรับแรงม้าที่เพิ่มมากขึ้นทางทีมงานจัดการเปลี่ยนใส่โช้คอัพยี่ห้อ Ohlins รุ่น FGRT 221 เข้าไปแทนที่รหัสนี้ตรงรุ่น Ninja H2 โดยเฉพาะแบบไม่ต้องดัดแปลงให้ปวดตับ
โช้คอัพฝั่งขวามือผู้ขับขี่ มีปลอกวัดระยะการยุบตัวของโช้คสวมอยู่ด้วยเพื่อเช็คการ Setting ส่วนฝั่งซ้ายผู้ขับขี่จะมีจุดยึดเซนเซอร์ ABS ทำมาแบบตรงรุ่น…เป๊ะ
โช้คอัพหลังของ Ninja H2 ตั้งแต่ปี 2017 ขึ้นไปทางคาวาซากิจัดการใส่โช้ค Ohlins เป็นของติดรถเลย แหม๋ๆๆได้ใจคนซื้อซะจริงๆ เบิกใหม่ก็ครึ่งแสนนะ
กันสะบัดของเดิมติดรถ Ninja H2 จะเป็นแบบไฟฟ้าสีดำเหมือนของ ZX-10R ซึ่งก็ไม่ค่อยจะให้ความรู้สึกในการขับขี่แบบเรสซิ่งเซอร์กิตดีสักเท่าไรนัก จับใส่ Ohlins แทนที่ไปอีกตัว…จบ
ระบบเบรค
คาลิปเปอร์ด้านหน้าของ H2 ตั้งแต่ปี 2017 ขึ้นไปทางคาวาซากิจัด Brembo มาให้เป็นของติดรถอีกเช่นกัน
โดยที่ทีมงานจัดการเปลี่ยนจานเบรคจากของเดิมเป็นยี่ห้อ Brembo รุ่น Supersport ใส่ลงไปแทน
คาลิปเปอร์ด้านหน้าให้โบ้มาแล้วด้านหลังก็ต้องโบ้เหมือนกันจะได้ไม่งงใจ
บอกตรงๆว่าปั้มเบรคตัวบนของเดิม หยุดม้าระดับ 258 ตัว ไม่อยู่ !!! อ๊ะจัดการเปลี่ยนใส่ Brembo รุ่น MotoGP เข้าไปอีก อย่าถามราคานะ…ฉันจะเดินเข้าป่า ส่วนการ์ดป้องกันมือเบรคคาร์บอนเป็นของยี่ห้อ Extreme Components ให้อารมณ์แบบรถโมโตจีพี
ท่อไอเสียของเดิมเป็นวัสดุสแตนเลสมีน้ำหนักอยู่ที่ 16 กิโลกรัม ถือว่าหนักพอสมควร จัดการถอดออกใส่ท่อ Trick Star Titanium Full System ลงไปแทนเพื่อลดน้ำหนัก และช่วยการไหลของไอเสียได้อย่างหมดจด สังเกตขนาดคอท่อจนถึงช่วงปลายใหญ่กว่าท่อแต่งปกติทั่วไปมาก
ไหนๆก็ Trick Star แล้ว…มีอะไรอีกอุดหนุนให้หมด จัดไปกับท่อทางเดินน้ำสองฝั่ง
ไล่เบากันไปอีกด้วยชุดล้อคาร์บอนยี่ห้อ Rotobox รุ่น Boost ลายใหม่ล่าสุด สวยงาม เบา กระเป๋าฉีก
TEST TEST
การคอนโทรล
ในส่วนของการรีวิวทดสอบ Kawasaki Ninja H2 Trick Star ครั้งนี้จะเป็นการพูดถึงรถที่ผ่านการโมดิฟายอัพเกรดแรงม้า 258 แรงม้าแล้ว ไม่ใช่รถสแตนดาร์ดแต่อย่างใด
ตำแหน่งเบาะนั่งมีความสูงจากพื้นถึงเบาะที่ระยะ 825 มิลลิเมตรเทสไรเดอร์ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 62 กิโลกรัม ความสูงของพักเท้าให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับพักเท้าแต่ง โพซิชั่นท่านั่งและการวางมือที่แฮนด์ไปทางรถสปอร์ตคลาสพันแต่ไม่สปอร์ตจ๋าซะทีเดียว ช่วงจับที่แฮนด์ค่อนข้างกว้างเพื่อง่ายต่อการคอนโทรลและเดินทางแบบทัวร์ริ่ง
ถึงแม้ทางคาวาซากิจะพยายามออกแบบให้รถ Ninja H2 เป็นแบบสวิงอาร์มเดี่ยว และลดระยะฐานล้อให้สั้นลงเพื่อง่ายในการเข้าโค้งและออกโค้ง แต่เทสไรเดอร์ก็ยังรู้สึกได้ว่าจังหวะการเข้าและออกจากโค้งนั้น Ninja ZX-10R ทำได้เร็วกว่าอยู่เล็กน้อย
จังหวะการผลิกรถในโค้งเอส Ninja H2 ก็ยังเป็นรอง Ninja Zx-10R เพราะด้วยน้ำหนักตัวที่มากกว่า จุดนี้ไขข้อข้องใจของหลายๆคนที่เถียงกันได้เลย
การคอนโทรลคันเร่งในโค้งของ Ninja H2 Trick Star ซึ่งมีแรงม้าอันมหาศาลนี้ เสียงเครื่องยนต์ที่พ่วงซุปเปอร์ชาร์จส่งผ่านความรู้สึกถ่ายทอดมายังคันเร่ง “มันคำรามในลำคอเรียกร้องให้คนที่กำลังควบคุมมันอยู่ กดคันเร่งส่งมันออกจากโค้งที กดซิ กดซิ !!!”
TAKE OFF !!! มันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้…
Ninja H2 คือรถที่เหมาะสำหรับทางตรง ด้วยเครื่องยนต์ซุปเปอร์ชาร์จอันทรงพลัง แรงบิดมีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำๆ ซึ่งแรงดึงในรอบต่ำเทียบเท่ารถสปอร์ตคลาสพันในรอบสูงเลย รถ Ninja H2 พุ่งทะยานแบบไม่ปรานีปราศรัยไม่ฟังเสียงห้ามปรามใดๆจากสิ่งรอบข้าง มันพร้อมจะบินได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เปรียบเทียบความรุนแรงเสมือนระดับ 7 ริกเตอร์ เสียงท่อของ Trick Star Full Sysytem ดังสนั่นลั่นสนามช้างฯ เซอร์กิต กลบเสียงรถคันอื่นให้ต้องหยุดดูมันคำรามไปโดยปริยาย
การตอบสนองของเครื่องยนต์
ในวันทดสอบรถ Ninja H2 Trick Star คันนี้เพิ่งผ่านพ้นระยะรันอินที่ 500 กิโลเมตร แบบกลิ่นรถใหม่ยังติดอยู่ เทสไรเดอร์ทดสอบความเร็วสูงสุดที่
เกียร์ 1 ตัวเลขโชว์บนเรือนไมล์ที่ 150 กม./ชม.
เกียร์ 2 ที่ 200 กม./ชม.
เกียร์ 3 ที่ 250 กม./ชม.
เกียร์ 4 ที่ 290 กม./ชม.
ก็ถึงระยะเบรคช่วงสุดทางตรงของสนามช้างฯ เซอร์กิต โดยยังเหลือเกียร์ 5 และ 6 ที่ยังไม่ได้ใช้งาน
จังหวะเกียร์ต่อเกียร์ขึ้นรวดเร็วจนน่าตกใจ รอบเครื่องยนต์ช่วง 12,000 – 16,000 รอบ/นาที เข็มวัดรอบกวาดได้ไวมากๆเพราะด้วยระบบซุปเปอร์ชาร์จ และการอัพเกรดกล่องควบคุม ECU ของ Trick Star ลักษณะของเครื่องยนต์ที่มีระบบซุปเปอร์ชาร์จ เวลายกคันเร่งหรือปิดคันเร่งรถจะมีอาการดึงแบบ เอนจิ้นเบรคเยอะกว่ารถปกติทั่วไป
ระบบกันสะเทือนและช่วงล่าง
เนื่องจากรถคันนี้ได้เปลี่ยนโช้คหน้า Ohlins เพื่อรองรับการขับขี่มาแล้ว เทสไรเดอร์เพียงแค่ปรับเซ็ทค่าโช้ค Preload Rebound Compression ให้ได้ตามที่ต้องการก็ประเคนคันเร่งใส่ได้ไม่ยั้งเลย เพราะด้วยโช้คที่เป็น After Market Hi Performance ขนาดนี้เป็นที่รู้กันอยู่ถึงประสิทธิภาพในการใช้งานสไตล์เรสซิ่ง ส่วนโช้คหลังติดรถ Ohlins ถือได้ว่าทำงานได้มีประสิทธิภาพดีเช่นกัน แทบจะพูดได้เลยว่าแมทช์กับโช้คหน้ามากๆ ถือว่าคาวาซากิให้ของติดรถมาได้ไม่ผิดหวังจริงๆ
ระบบเบรค
Ninja H2 Trick Star คันนี้อัพเกรด ปั้มเบรคตัวบน พร้อมจานเบรค Brembo ไปแล้ว เหลือเพียงคาลิปเปอร์ล่างที่ต้องอัพเกรดตามอีกครั้ง เพื่อความแมทชิ่งกันทั้งระบบเบรค ซึ่งฟิลลิ่งการเบรคในวันนั้นก็ทำได้ในระดับที่ดีมากทีเดียว สั่งระยะหยุดได้ละเมียดตามนิ้ว
ระบบอิเล็คทรอนิกส์
Ninja H2 ใช้ระบบกล่องควมคุมที่เรียกว่า IMU (Inertial Measurement Unit) ซึ่งผลิตโดยบริษัทระดับโลกอย่าง BOSCH ตรวจจับองศาการเบี่ยงเบนของตัวรถ 6 แกน (หน้า หลัง ซ้าย ขวา บน ล่าง)โดยมีระบบที่ทำงานผสมผสานร่วมกันแบ่งออกเป็น KCMF , KTRC หรือ Traction control และ KIBS , KLCM ซึ่งเซนเซอร์จะใช้เวลาในตรวจจับเพียงเศษเสี้ยว 5/1000 ของ 1 วินาที (ระบบต่างๆนี้ทีมงานจะอธิบายอย่างละเอียดในรีวิว Ninja H2 รุ่นปกติอีกครั้ง)
เวลาคุยกับใครจะซุยว่าเทโค้งเข่าเช็ดพื้นศอกเช็ดพื้นยังไงก็ได้ แต่ตัวเลขที่โชว์บนเรือนไมล์จะเป็นข้อพิสูจน์เองว่าเทโค้งได้กี่องศา เพราะรถ Ninja H2 มีระบบ Lean Angle โชว์องศาการเทโค้งแบบสูงสุดเก็บเป็นสถิติได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา สังเกตสัญลักษณ์ < > ที่อยู่ระหว่างตัว N และตัวเลขคือการบอกว่าเป็นด้านซ้ายรึด้านขวา โดยวันทดสอบเทสไรเดอร์ สาดโค้งซ้ายไป 56 องศา ส่วนโค้งขวาทำได้ที่ 57 องศา (ไม่ได้เสียวท่อราคาแสนกว่าเลยนะ 555)
บทสรุปของรถ Kawasaki Ninja H2 Trick Star : 258 แรงม้า
“เป็นรถที่มีเอกลักษณ์ของเสียงซุปเปอร์ชาร์จไพเราะสนั่นโสตประสาทดั่งวงดนตรีร็อคชั้นดี เหมาะกับคนที่ต้องการเสพความมันส์เกินกว่าที่รถสปอร์ตคลาสพันทุกๆยี่ห้อจะให้ความสุดกับคุณได้…”
ข้อดี
- โหด เร็ว แรงส์ เหมาะสำหรับคนบ้าพลัง (อย่างเทสไรเดอร์ 555+) ที่สุดแล้วสำหรับทศวรรษนี้
- เสียงซุปเปอร์ชาร์จเพราะมากๆๆๆ
- การออกแบบรูปทรงล้ำสมัยไปอีก 10 ปี
- จอดรถในปั้มไม่มีขึ้นผิดคันแน่นอน (เพราะไม่โหล)
- สีของตัวรถสวยงามมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ข้อแนะนำ
- ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่
- ต้องเข้าฟิตเนสเล่นเวทอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 วัน
- เวลาขี่ในเมืองเหมือน The Hulk ในร่าง “บรูซ แบนเนอร์” (ต้องการพื้นที่สำหรับปล่อยพลัง)
Kawasaki Ninja H2 : 2018 มีให้เลือก 1 สี Mirror Coated Matte Spark Black
- ราคา 1,568,000 บาท (รุ่นสแตนดาร์ด)
- ราคาจำหน่าย ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2018
- ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นตัวแทนจำหน่าย
- ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
VDO : Kawasaki Ninja H2 Trick Star Step 2 : 258 แรงม้า EP.1 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ กดแบบ HD และเร่งเสียงให้ดังสุดเพื่อฟังเสียง Supercharged เพิ่มความมันส์เร้าใจสุดๆ
MotoWish ขอขอบคุณ
บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด
2499 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 ติดต่อ 02-018-4999
ZEP Product Research Product International Co., Ltd. เคมีภัณฑ์อันดับ 1 จากอเมริกา โทร. 02-881-8338
SKR Proshop จำหน่ายหมวกกันน็อค อุปกรณ์เซฟตี้ อุปกรณ์ตกแต่ง และยางสำหรับรถบิ๊กไบค์ โทร. 087-669-8877
> Nitek Helmet 2 Power
146/2 ซ.ศูนย์วิจัย 14 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร.081-823-0181 , 099-640-0592
> ผู้ทดสอบ : @Rider 69
Source Cr.: Kawasak-cp.khi.co.jp , Kawasaki Heavy Industries , MotoGP , Asia Nikkei
อ่าน Reviews รถรุ่นอื่นๆ เพิ่มที่นี่
อ่านข่าว Kawasaki เพิ่มที่นี่
เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่
Website : motowish.com
Facebook : facebook.com/motowish