รีวิว New Kawasaki Ninja 400 : 2018 มีดีมากกว่าที่ตาเห็น ช่วงล่างจัดเต็มพิกัดความแรง
พูดถึงรถในพิกัด 300 ซีซี จะเรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของไบค์เกอร์ที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางสายบิ๊กไบค์ก็ว่าได้ ด้วยราคาและพื้นฐานของรถที่ง่ายต่อการขับขี่ ทำให้รถในคลาสนี้มีการแข่งขันในตลาดค่อนข้างดุเดือด ซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างเราๆที่จะได้เลือกรถรุ่นที่คุ้มค่าถูกใจที่สุด สำหรับรถ Kawasaki New Ninja 400 โมเดลล่าสุดปี 2018 เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์สุดๆ
สิ่งหนึ่งที่ถูกใจบรรดาสาวกค่ายเขียว คือการเปิดตัวรถใหม่แต่ละครั้งไม่ต้องกำใบจองกันจนเปื่อยคามือ หลังจาก New Ninja 400 โมเดลปี 2018 โชว์ตัวที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถัดมาในเดือนพฤศจิกายนทาง บจ.คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จัดรถให้แฟนๆได้ยลโฉมกันในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2017 พร้อมให้สื่อมวลชนได้ทดสอบในทันที ณ สนาม อิมแพ็ค สปีด พาร์ค
โดยสนามแห่งนี้เป็นสนามโกคาร์ทไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเมืองทองธานี และเป็นครั้งแรกที่มีรถจักรยานยนต์ได้ลงทดสอบการขับขี่ในสนามแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งทางคาวาซากิจัดให้สื่อมวลชลได้ลองแบบสุดพิเศษจริงๆ
พื้นฐานการออกแบบ
Kawasaki ตั้งใจออกแบบออลนิว Ninja 400 ปี 2018 ใหม่หมดทุกจุดเพื่อให้มีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่น Ninja 300 ในทุกๆด้านอย่างแท้จริง ไล่กันตั้งแต่เฟรมรถ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบเบรค แฟริ่ง พูดว่าทั้งคันเลยจะง่ายกว่า
ถอดเปลือกเปลือยดูโครงสร้างตัวรถกันก่อน ทางคาวาซากิชูจุดเด่นที่เทคโนโลยีโครงรถใช้เฟรมแบบถักเช่นเดียวกับรถ Ninja H2 ซึ่งมีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงและซับแรงกระทำได้เป็นอย่างดี
รูปลักษณ์ภายนอก
กับโทนสีดำด้านดุดันตามเทรนด์สมัยนิยม สติกเกอร์ลวดลายกราฟฟิก ทำออกมาได้ดูสปอร์ตดีทีเดียว แต่น่าจะมีเลขรหัส 400 เพิ่มตรงด้านข้างแฟริ่งบริเวณไฟเลี้ยวจะได้ไม่ดูโล่งจนเกินไป
มองดูรูปทรงภายนอกมีลายเส้นคล้ายสปอร์ตท็อปเรคคอร์ดอย่าง Kawasaki Ninja H2 โดยเฉพาะช่วงหัวและช่วงท้ายเรียกว่าถอด DNA กันมาเลยก็ว่าได้
เรือนไมล์ยังคงใช้แบบเข็มผสมตัวเลขดิจิตอล โดยทางคาวาซากิอยากให้อารมณ์เดียวกับ Kawasaki H2 อีกเช่นกัน บริเวณแผงคอเจาะช่องว่างเพื่อลดน้ำหนักสไตล์รถสปอร์ต หนัาปัดบอกรายละเอียดการขับขี่ครบถ้วน เรดไลน์เริ่มต้นกันที่ 12,000 รอบ
สวิทช์ทั้งซ้ายและขวาจัดมาให้ใช้แบบพอดิบพอดี ส่วนแฮนด์จับโช้คอยู่ในตำแหน่งบนแผงคอ
เครื่องยนต์
ซีซีเพิ่มมากขึ้นอีก 100 ซีซี แต่ขนาดมิติของเครื่องยนต์เล็กกว่าเครื่อง 300 ซีซี เพื่อความเบาและจุดศูนย์ถ่วงที่ดี รวมทั้งออกแบบวาล์วไอดีวาล์วไอเสีย เพื่อรองรับรอบเครื่องยนต์ในรอบต่ำถึงรอบสูงได้ดีขึ้น และยังใช้ Stick Coil แบบ Denso Stick Type ทำให้เกิดไฟแรงดันสูงในการจุดระเบิด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้อย่างสูงสุด แถมยังใช้เพลาลูกเบี้ยวแบบอัดขึ้นรูปทำให้ลดน้ำหนักไปได้อีก 200 กรัม
ชุดดุมคลัทช์เล็กลงจากชุดเดิมที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 139 มิล. เหลือเพียง 125 มิล. ทำให้แผ่นคลัทช์มีขนาดเล็กลงตามไปด้วย ซึ่งการออกแบบดังกล่าวทำให้ลดแรงในการบีบก้านคลัทช์ถึง 20% ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตัดต่อกำลังระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ให้ดีขึ้น และลดอาการเมื่อยล้าที่นิ้วในการกำคลัทช์เวลาเดินทางไกล
ระบบกันสะเทือน
โช้คอัพหน้าจากเดิมในรุ่น Ninja 300 ใช้ขนาด 37 มิล. ส่วนในรุ่น Ninja 400 ได้เพิ่มขนาดขึ้นเป็น 41 มิล. ซึ่งใช้แบบเดียวกับรุ่นพี่คลาสกลางอย่าง Ninja 650 ล้อแมกซ์ด้านหน้าสวมยาง Dunlop Sportmax GPR-300 ขนาด 110/70 R17
โช้คอัพหลังจัดสเปคใหญ่อีกเช่นกัน พร้อมสามารถปรับตั้งพรีโหลดแบบเลื่อนข้อ ส่วนยางหลังขนาด 150/60 R17 ขนาดกว้างกว่า Ninja 300 (140/70 R17)
ระบบเบรค
คาลิปเปอร์ยี่ห้อ Nissin 2 ลูกสูบ ประกบจานดิสก์เบรคขนาดใหญ่โตถึง 310 มิลลิเมตร (ขนาดเดียวกับรถ ZZR1400) แถมยังเป็นจานเบรคชนิด Semi Floating หรือที่เรียกกันภาษาคอรถว่า จากเบรคให้ตัวได้ เพื่อประสิทธิภาพในการเบรคที่ดีกว่า และเมื่อปล่อยเบรคแล้ว ระยะห่างของจานกับผ้าเบรคจะไม่ติดกันเหมือนจานเบรคแบบธรรมดา ทำให้ล้อหมุนได้แบบไม่มีแรงเสียดทานจากผ้าเบรค
ส่วนระบบเบรคหลังเป็น คาลิปเปอร์ยี่ห้อ Nissin 2 ลูกสูบ ประกบจานดิสก์เบรคขนาดใหญ่ 220 มิลลิเมตร พร้อมระบบเบรค ABS ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมาเต็มระบบ
ความจุถังน้ำมันได้ถูกออกแบบใหม่และปรับลดขนาดลงจากรุ่น 300 ที่เคยจุได้ 17 ลิตร ในรุ่น 400 นี้สามารถจุน้ำมันได้ 14 ลิตร แต่ทางคาวาซากิยังคงเคลมระยะทางในการวิ่งต่อ 1 ถัง ไว้ที่ 300 กว่ากิโลเมตร ซึ่งก็เพียงพอต่อการเดินทางออกทริปกัน
ไหนๆเครื่องยนต์ก็ออกแบบใหม่แล้ว ท่อไอเสียจะเอาของเก่ามาใส่ได้ยังไง คาวาซากิจัดการลดน้ำหนักของท่อไอเสีย โดยรีดความหนาของเหล็กเหลือเพียง 0.8 มิลลิเมตร และขยายขนาดคอท่อจากเดิม 28.6 มิลลิเมตร เพิ่มเป็น 31.8 มิลลิเมตร ทำให้การคายไอเสียเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
TEST TEST 2 สนาม แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
การคอนโทรล
ด้วยทีมผู้ออกแบบรถคาวาซากิตั้งใจดีไซน์ให้รถ New Ninja 400 ปี 2018 เป็นสปอร์ตคอมแพคในทุกสัดส่วน ตั้งแต่มิติตัวรถและโพซิชั่นของท่านั่งในการขับขี่ พร้อมด้วยการควบคุมรถที่ง่ายดาย สำหรับมือใหม่ First Entry ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวระหว่างรถ 250 , 300 ซีซี และ 400 ซีซี เลือกข้ามรุ่นมาหวด 400 ซีซี ถ้างบถึงพอจัดทีเดียวจบ !!!
ตำแหน่งเบาะนั่งมีความสูงที่ระดับกลางๆจากพื้นถึงเบาะที่ระยะ 785 มิลลิเมตร ซึ่งความสูงเท่ากับนินจา 300 เทสไรเดอร์ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 62 กิโลกรัม วางได้เต็มฝ่าเท้า เบาะผู้ขับขี่อาจจะดูหลอกตาหน่อยๆ เพราะด้วยการออกแบบถังน้ำมันและเบาะคนนั่งซ้อนที่ดูสูงขึ้น ทำให้เบาะนั่งของผู้ขับขี่มีลักษณะดูเว้าลึกลงไป
หลังจากที่เทสไรเดอร์ขึ้นคร่อมรถ ตำแหน่งแฮนด์ให้ความรู้สึกไปในทางกึ่งสปอร์ตทัวร์ริ่ง การวางมือนั้นเป็นแบบในลักษณะสบายๆ ไม่ต้องก้มตัวมากนัก
ทดสอบการเข้าโค้งแคบๆในสนามโกคาร์ท รถสามารถแบนโค้งแบบเข่าเช็ดพื้นได้ทุกเกียร์ตั้งแต่เกียร์ 1 2 และ 3 รถนินจา 400 พาเลี้ยวเข้าโค้งไปได้อย่างง่ายดาย ให้ความรู้สึกว่ารถเบากว่า Ninja 300 ตัวเก่าพอสมควร แต่ความเบาในที่นี้คือตัวรถยังคงให้ความรู้สึกที่มั่นคงจากช่วงล่างเป็นอย่างดี
โค้งเอสความเร็วต่ำ ในสนามโกคาร์ทแสดงให้เห็นว่ารถ Ninja 400 ให้การคอนโทรลที่ง่ายและเบา จังหวะการผลิกรถซ้ายขวาทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย อารมณ์เหมือนขี่รถพิกัด 150 ซีซี
ส่วนการทดสอบที่ สนามพีระฯ เซอร์กิต พัทยา Ninja 400 ก็ให้ความบันเทิงเพลิดเพลินกับเทสไรเดอร์ได้อย่างมันส์มือทีเดียว โค้งไฮสปีดที่ขึ้นชื่ออย่าง โค้ง 100R รถนินจาพาเทโค้งขวายาวๆขึ้นเนินเขาไปอย่างเนียนๆ แบบไม่ต้องจัดท่าทางการขี่อะไรมากนัก คำจำกัดความแบบสั้นๆของ Ninja 400 คือ รถเบาคอนโทรลง่าย
ทดสอบช่วงทางตรงที่ความเร็วสูงในสนามพีระฯ ขี่แบบหมอบหัวติดถังน้ำมันเลยนะ บังลมหน้ารถตัดอากาศข้ามหัวไปได้ดี แฟริ่งด้านข้างให้ความรู้สึกกระชับคอมแพคกับตัวผู้ขับขี่มากๆ การขับขี่ให้ความรู้สึกเหมือนจะลู่ลมได้ดีขึ้นกว่ารุ่น 300 เอ๊ะรึว่าเพราะรถมันเบาหว่า… ส่วนในภาพนี้เป็นจังหวะยกคันเร่งลงเนินก่อนเข้าโค้งที่ 1 แล้ว
การตอบสนองของเครื่องยนต์
ด้วยความจุของเครื่องยนต์ที่มีเพิ่มมากกว่ารุ่นนินจา 300 อีก 100 cc. และแรงม้าที่มากขึ้นถึง 45 แรงม้า พร้อมทั้งแรงบิดที่มากขึ้นจากเดิม 27 นิวตันเมตร เป็น 38 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าเยอะเอาเรื่องเหมือนกัน ทำให้การขับขี่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคันเร่งเบาไปในทันที เพราะด้วยแรงบิดและแรงม้าที่มีเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว การเดินคันเร่งในทุกจังหวะของการขับขี่จึงมีความมันส์ผสมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ Ninja 400 ให้การตอบสนองของคันเร่งได้รวดเร็วทันใจ บวกกับน้ำหนักตัวรถที่เบาขึ้น แรงบิดมีมาให้เรียกใช้ได้ตั้งแต่รอบต่ำๆต่อเนื่องยันรอบสูงสุดถึงเรดไลน์
ในสนามโกคาร์ท เทสไรเดอร์ทดสอบกดคันเร่งออกจากโค้งด้วยเกียร์ 3 ที่รอบเครื่องยนต์ค่อนข้างต่ำ คิดในใจว่ารถคงไม่พุ่งออกจากโค้งอย่างแน่นอน แต่ผิดคาดรถกลับวิ่งออกจากโค้งไปได้แบบเนียนๆ แรงบิดมีให้เรียกใช้ได้ทุกช็อตเลย
ส่วนการทดสอบที่ สนามพีระฯ เซอร์กิต เทสไรเดอร์ได้มีโอกาสใส่คันเร่งแบบไม่ต้องยั้งมือเหมือนที่สนามโกคาร์ท รอบเครื่องยนต์ที่ใช้อยู่ในระดับรอบกลางถึงปลายๆแตะเรดไลน์ คันเร่งบิดได้ติดมือมากๆ แรงบิดมีมาให้ใช่อย่างต่อเนื่องแบบไม่มีขาดตอน กดคันเร่งสับเกียร์ กดคันเร่งสับเกียร์ สุดทางตรงของสนาม เกียร์ 5 ทำความเร็วได้ถึง 170 กว่า กม./ชม.
คือถ้าคาวาซากิจัดเรซแทรคเดย์รุ่น Ninja 400 นะ จะเป็นรถรุ่นที่ไม่ต้องลงทุนแต่งอะไรมากเลย ใส่พักเท้าแต่ง ใส่ท่อ เปลี่ยนสายถัก ลงแข่งได้ทันที !!!
การออกแบบชุดชามคลัทช์ใหม่ทำให้การบีบคลัทช์นั้นง่าย และนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิมอย่างที่คาวาซากิคุยไว้ แค่นิ้วเดียวก็สามารถบีบคลัทช์ได้เอานิ้วที่เหลือไปจับแฮนด์สบายๆ รู้เลยว่าถ้าขี่ออกทริปทางไกลจะไม่มีอาการปวดนิ้วเพราะบีบคลัชท์แน่นอน
ส่วนที่ต้องชมเชยคือ ชุดสลิปเปอร์คลัทช์ เทสไรเดอร์ลองเชนเกียร์อารมณ์ประหนึ่งกำลังแข่งรถอยู่ ทดสอบเชนเกียร์แบบหนักๆให้รถเสียอาการ ล้อหลังออกอาการน้อยมากๆ ทั้งในขณะทางตรงและทางโค้งที่รถกำลังเอียงอยู่ ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องเป็นกังวลกับการเปลี่ยนเกียร์ในทุกสถานะการณ์
ระบบกันสะเทือนและช่วงล่าง
การเข้าโค้งไฮสปีดใน สนามพีระฯ เซอร์กิต โช้คหน้าให้ฟิลลิ่งติดไปทางนุ่มนวลแต่ยังคงเกาะผิวแทรคได้มั่นคงดีมาก ช่วงสุดทางตรงจุ่มรถลงเขาไปที่โค้ง 1 ทดสอบเบรคหน้าแบบเต็มที่ การซับแรงของโช้คหน้าทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างน่าแปลกใจ คือถ้ามองโช้คจากภายนอก “ก็ธรรมดานะไม่มีอะไร” หากไบค์เกอร์ที่คิดจะดูถูกโช้คหน้าแบบนี้หรือคิดว่าทำไมไม่ใส่โช้คหัวกลับมา คิดผิดคิดใหม่ได้ โช้คหน้าดีเกินพิกัดรถเลย #ขี่ก่อนค่อยคุยทีหลัง
ทางคาวาซากิเซ็ทโช้คหลังให้กับ Ninja 400 มาเป็นอย่างดี หากใครที่ได้ขี่สนามพีระ เซอร์กิตฯ เป็นประจำจะรู้ว่า โค้งที่ 10 ต่อเนื่องไปโค้งที่ 11 ถ้าโช้คหลังเซ็ทมาไม่ดี เวลากดคันเร่งออกจากโค้งที่ 10 ท้ายรถจะแสดงอาการสะบัดดีดดิ้นให้คนขี่ได้ทดสอบความแข็งแรงของลำแขนทุกรอบ ซึ่งจุดนี้ Ninja 400 ทำได้ดีสอบผ่านแบบ 8.5/10 เลยทีเดียว ซึ่งถ้าขี่รถใช้งานแบบปกติคือเพียงพอแล้ว
ระบบเบรค
ชุดคาลิปเปอร์และดิสก์เบรคที่ยกมาจาก Ninja 650 ให้ฟิลลิ่งในการเบรคได้นุ่มนวล ละเมียดมือดีทีเดียว การหยุดรถแบบหนักหน่วงก็ทำได้ในระยะสั้นๆ หรือจังหวะที่ต้องเลียเบรคในการเข้าโค้งก็ทำได้ดี จนคิดว่าไม่น่าจะต้องใส่ปั้มแต่งกันแล้วนะหากใช้งานแบบปกติทั่วไป เบรคหลังก็อารมณ์เช่นเดียวกันกับเบรคหน้าเหมือนกัน ส่วนระบบเบรค ABS ให้ประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาตราฐาน
ยางติดรถ
ยางหลังของ Ninja 300 ขนาดความกว้าง 140 ส่วน Ninja 400 คาวาซากิก็ไม่ลืมที่จะใส่ใจในความแรงที่มากขึ้น เพิ่มขนาดหน้ายางเป็น 150 ซึ่งยาง Dunlop Sportmax GPR-300 เทสไรเดอร์ได้เคยทำการทดสอบมาแล้วหลายร้อยกิโลเมตร ยางให้ฟิลลิ่งไปในทางสปอร์ตเรซซิ่ง ในสนามโกคาร์ทซึ่งแอสฟัลท์เป็นแบบละเอียดจะมีความลื่นมากกว่าแอสฟัลท์ในสนามแข่งรถ ยางยังคงเกาะผิวแทรคได้อย่างดีเยี่ยม ในจังหวะที่เทสไรเดอร์ตั้งใจทำรถเสียอาการ ยางดันลอป สปอร์ตแมกซ์ ก็ยังเอาอยู่ !!!
ข้อดี
- น้ำหนักรถเบาคอนโทรลง่าย โพซิชั่นท่านั่งในการขับขี่สบาย
- ช่วงล่างและระบบเบรคเซ็ทมาดีเกินพิกัดรถ
- เครื่องยนต์มีแรงม้าและแรงบิดอยู่ในระดับที่ดีมาก
ข้อแนะนำ
- ลวดลายล้อแมกซ์ควรออกแบบใหม่ คือเข้าใจว่าก้านเล็กที่มาค้ำก้านใหญ่เพื่อเพิ่มความแข็งแรง แต่ดูแล้วไม่สวยเลย เปลี่ยนเป็นเพิ่มขนาดก้านแมกซ์ให้ใหญ่อีกเล็กน้อย แล้วตัดก้านเล็กทิ้งไปเลยจะสวยกว่า ส่วนดีไซน์ต้องปรับอีกเล็กน้อย
- รถสีน้ำเงิน และ สีดำ เพิ่มสติกเกอร์รุ่น 400 ที่ด้านข้างแฟริ่งจะได้ไม่ดูเรียบเกินไป
- สายเบรคถ้าให้สายถักมาจากโรงงานเลยจะได้ใจคนซื้อมาก
- รุ่นต่อไปถ้าขอ เดย์ไลท์ , ชิฟไลท์ ด้วยจะพีคมาก
Kawasaki Ninja 400 : 2018 มีให้เลือก 2 รุ่น 4 สี
- ราคาวางจำหน่าย ณ เดือนพฤศจิกายน 2017
- Ninja 400 Standard มี 2 สี ได้แก่ สีดำ (Metallic Spark Black) , สีฟ้า (Candy Plasma Blue) ราคา 196,000 บาท
- Ninja 400 Special Colours (KRT EDITION) มี 2 สี ได้แก่ สีเขียว (Lime Green / Ebony) , สีแดง Passion Red / Metallic Flat Spark Black ราคา 205,000 บาท
- ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นตัวแทนจำหน่าย
- ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
อ่านรายละเอียด Kawasaki Ninja 400 เพิ่มที่นี่
ค้นหาตัวแทนจำหน่าย Kawasaki เพิ่มที่นี่
MotoWish ขอขอบคุณ
บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด
2499 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 ติดต่อ 02-018-4999
> Nitek Helmet 2 Power
146/2 ซ.ศูนย์วิจัย 14 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร.081-823-0181 , 099-640-0592
> ผู้ทดสอบ : @Rider 69
เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่
Website : motowish.com
Facebook : facebook.com/motowish