พัฒนาการของ Honda NSR500 สองจังหวะ ตัวแข่งโมโตจีพีในตำนาน
ย้อนกลับไปในยุคที่เครื่องยนต์สองจังหวะกำลังเฟื่องฟู ในการแข่งขันโมโตจีพีก็มีรถแข่งในตำนานอย่าง Honda NSR500 ที่คว้าแชมป์ได้เป็นกอบเป็นกำ วันนี้ลองมาดูวิวัฒนาการของเครื่องยนต์เจ้ารถแข่งคันนี้กันดีกว่า
ก่อนจะกลายมาเป็น Honda NSR500 ก่อนหน้านี้มีรุ่น NS500 ซึ่งเป็นรถแข่งที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 3 สูบ ที่ “เฟรดดี้ สเปนเซอร์” ใช้คว้าแชมป์โลกในปี 1983 หลังจากนั้นในปี 1984 ได้มีการเปิดตัวรถแข่งเครื่องยนต์ 4 สูบรุ่นใหม่ นับเป็นจุดเริ่มต้นของ NSR500
เจ้า Honda NSR500 ในช่วงแรกนั้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 499 ซีซี 2 จังหวะ V4 90 องศา ให้พละกำลัง 140 แรงม้าที่ 11,500 รอบต่อนาที ถึงอย่างไรก็ตามรถแข่งรุ่นนี้ในช่วงแรกทำงานไม่ค่อยได้ดั่งใจนัก มีการจัดวางชุดท่อไอเสียเอาไว้ที่บริเวณไว้ข้างบน และเอาถังน้ำมันไว้ใต้เครื่องยนต์
แต่ถึงอย่างไรก็ตามในปี 1985 “เฟรดดี้ สเปนเซอร์” ก็สามารถคว้าแชมป์โลกด้วยรถคันนี้ได้สำเร็จ โดยตัวรถได้รับการออกแบบให้ดียิ่งขึ้น พร้อมนวัตกรรม ATAC ซึ่งเป็นระบบวาล์วในระบบไอเสียที่ปรับการไหลของก๊าซให้เหมาะสม
ปี 1987 ตัวรถได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเครื่องยนต์ V4 จากที่ทำมุม 90 องศา ได้รับการปรับให้ทำมุม 112 องศา พละกำลัง 156 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที อีกการปรับที่สำคัญก็คือทิศทางของเพลาจ้อเหวี่ยง ตัวรถได้รับการประบปรุงให้มีความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในปีเดียวกันนี้เอง “เวย์นี การ์ดเนอร์” ยังใช้คว้าแชมป์โลกอีกด้วย
ปี 1989 NSR500 เดินทางมาสู่จุดสุดยอดของความเร็ว ต้องให้เครดิตกับแชสซีที่ได้รับการเสริมความแข็งแรงและสวิงอาร์มที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ โดยตัวรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้เกินกว่า 310 กม./ชม. พละกำลัง 165 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที ซึ่ง “แอดดี้ ลอวสัน” ใช้คว้าแชมป์โลกไปอีกคน
ต่อมาปี 1990 ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพอีกนิดหน่อยโดยได้ติดสินใจสร้างเครื่องยนต์ที่เรียกว่า Screamer ซึ่งว่ากันว่าเป็นเครื่องจักรที่ควบคุมยากมาก ทำให้ทีมต้องหานักแข่งที่คิดว่าจะควบคุมรถคันนี้ได้ ซึ่งได้ไปเจอ “มิก ดูฮาน” ว่าที่แชมป์โลกหลายสมัยในอนาคตนั่นเอง
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกฎ ตัวรถต้องมีน้ำหนักขั้นต่ำ 130 กก. และมีการกำหนดความกว้างของล้อ NSR500 จำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยนอีกครั้ง จำเป็นต้องมีการปรับแต่งให้ความก้าวร้าวของรถลดลง ถึงแม้ว่าจะเป็นรถที่มีประสิทธิภาพในแง่ความเร็วสูงสุด แต่รถก็ยังไม่เป็นไปอย่างใจต้องการ เช่นการเข้าโค้งที่ยังคงยากอยู่
มาปี 1992 ฮอนด้าตัดสินใจออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ให้มีการจุดระเบิดพร้อมกับทีละ 2 สูบ หรือพร้อมกัน ที่เรียกกันว่า Big Bang ทำให้รถสามารถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น การออกโค้งดีขึ้นกว่าเดิม
จนปี 1993 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ถูกนำมาใช้ ทำให้ระบบการจ่ายน้ำมันเป็นไปอย่างใจต้องการมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่สำหรับฮอนด้า
ปี 1994 การรอคอยก็มาถึง แม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากเกี่ยวกับตัวรถ แต่ในช่วงท้ายๆ ฤดูกาล รถมีการปรับปรุงประสิทธิภาพรอบเครื่องช่วงกลางให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มแรงม้าได้อีกประมาณ 10 ตัว ช่วงรอบ 6,000 – 10,000 รอบต่อนาที จนในที่สุด “มิก ดูฮาน” ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ
ปี 1995 มีการปรับปรุงขนาดคาร์บูเรเตอร์ใหม่ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ทั้งรถแข่งและนักแข่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่มีใครต้านทานได้ “ดูฮาน” คว้าแชมป์อีกครั้ง รวมไปถึงในปี 1996 ด้วย
ปี 1997 มีการปรับปรุงในเรื่องของเกียร์ โดยมีการทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องปล่อยคันเร่ง ประกอบกับเครื่องยนต์ที่ดุดันดั่งม้าพยศ นอกจากนี้เครื่องยนต์แบบ Screamer ได้ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง เหตุผลเพราะนักแข่งอยากได้รถที่มีความก้าวร้าวมากกว่าเดิม ในที่สุด “ดูฮาน” ก็คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ในปีต่อๆ มายังมีการเปลี่ยนแปลงของกฎบ้างแต่ก็ไม่ทำให้การคว้าแชมป์ด้วยรถ Honda NSR500 แผ่วลงไป โดยในปี 1998 “ดูฮาน” คว้าแชมป์โลก ปี 1999 “อเล็กซ์ กริบิเย่” คว้าแชมป์โลก และในปี 2001 “วาเลนติโน่ รอสซี่” คว้าแชมป์โลก
และเดินทางมาถึงปีสุดท้ายของ NSR500 ถือว่าเป็นจุดจบของรถสองจังหวะ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น RC211V จนในปัจจุบันมีชื่อว่า RC213V
เป็นอย่างไรกันบ้างได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของรถในตำนานอย่าง Honda NSR500 กันไปแล้ว วันวานอันแสนหวานของเหล่าแฟนๆ ความเร็วสองล้อยุค 90 ยังคงชวนให้นึกถึงอยู่เสมอ
Source Cr.: boxrepsol
อ่านข่าว News Talk เพิ่มที่นี่
อ่านข่าว Honda เพิ่มที่นี่
เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่
Website : motowish.com
Facebook : facebook.com/motowish