Home  »  New Bikes   »   BMW R1300R 2025 โร้ดสเตอร์ปรับใหญ่ ใส่ความสปอร์ตมากขึ้น

BMW R1300R 2025 โร้ดสเตอร์ปรับใหญ่ ใส่ความสปอร์ตมากขึ้น

BMW R1300R 2025

หลังปล่อยให้รถตระกูล GS อัพเครื่องยนต์เป็นพิกัด 1,300cc ไปก่อนแล้วเป็นปีๆ ตอนนี้ก็ถึงคิวของรถตระกูล R อย่าง BMW R1250 R ที่จะต้องถูกเปลี่ยนโฉมเป็น BMW R1300 R กันบ้าง

 

BMW R1300 R มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากรุ่นพี่ R1250 R ในแทบทุกจุด เริ่มจากงานออกแบบสัดส่วน และชิ้นส่วนเปลือกนอกใหม่ทั้งหมด โดยจะเน้นการปรับเส้นสายตัวรถให้ดูมีความแน่นหนา และลาดเตี้ยจากหัวจรดท้ายมากขึ้น, ไฟฟน้า LED แบบใหม่ ถูกปรับให้มีลักษณะเป็นคางยื่นไปด้านหน้ามากกว่าเดิม, ชิ้นแฟริ่งข้างถังน้ำมัน ที่ดูกว้าง และปรับสันไหล่ให้สูงขึ้น เสริมภาพลักษณ์บึกบึน

BMW R1300R 2025

ครึ่งหลังของถังน้ำมันที่ถูกปรับความจุให้น้อยลง 1 ลิตร เหลือ 17 ลิตร ไปจนถึงด้านท้ายรถ กลับถูกปรับให้ดูปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว ในลักษณะเส้นสายเดียวกันกับ R1300GS แทน ซึ่งนั่นก็รวมถึงการเปลี่ยนเมนเฟรมของตัวรถใหม่ จากที่เคยใช้ชุดเฟรมแบบโครงท่อเหล็กถัก เป็นชุดเมนเฟรมแบบแผ่นเหล็กเชื่อมขึ้นรูป จับคู่กับซับเฟรมหลังแบบอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปน้ำหนักเบาด้วย

 

และเพื่อปรับท่าทางการขี่ให้เข้ากับหน้าตาที่เปลี่ยนไป แฮนด์บาร์ของมันยังถูกปรับใหม่ให้แบนแกละกว้างกว่าเดิม เพื่อปรับท่าผู้ขี่ให้โน้มมาทางด้านหน้ามากขึ้น และหากไม่พอ ตัวแฮนด์ยังสามารถปรับหมุน 180 องศา จากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อปรับระยะแฮนด์ให้ยื่นออกจากตัวผู้ขึ้นมากขึ้นอีก 10 มิลลิเมตร เช่นเดียวกับออพชันพักเท้าแต่งที่สามารถปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง ให้ลูกค้าเลือกซื้อภายหลังได้

 

หรือถ้ายังสปอร์ตไม่พอ เบาะนั่งที่สูง 785 มิลลิเมตร ก็ยังสามารถปรับให้มีความสูงเพิ่มขึ้นเป็น 810 มิลลิเมตร ได้ด้วย ไม่ใช่แค่เพื่อให้เหมาะกับผู้ขี่ตัวสูง แต่ยังช่วยให้ท่าขี่มีความโน้มกว่าเดิมด้วย

BMW R1300R 2025

ด้านหัวใจสำคัญอย่างเครื่องยนต์ ก็แน่นอนว่าจะเป็นการยกเอาเครื่องยนต์ 2 สูบนอน Boxer ขนาด 1,300cc ของ R1300 GS มาประจำการลงไป โดยมันจะยังคงมาพร้อมกับลูกเล่นระบบวาล์วแปรผัน ShiftCam, ระบบคันเร่งไฟฟ้า และหากเทียบกับขุมกำลัง Boxer 1,254cc ลูกเดิม หากไม่นับขนาดความจุที่ใหญ่ขึ้น จากลูกสูบที่ใหญ่กว่าเดิม (แต่ช่วงชักสั้นลงเล็กน้อย)

 

ก็จะมีทั้ง การปรับองศาและระยะยกของวาล์วใหม่, ใบวาล์วใหญ่ขึ้น จาก 40 มิลลิเมตร เป็น 44 มิลลิเมตรในฝั่งไอดี และ จาก 34 มิลลิเมตร เป็น 35.6 มิลลิเมตร, กำลังอัดที่สูงขึ้น จาก 12.5 : 1 เป็น 13.3 : 1, ปรับปรุงระบบหล่อเย็น ปรับปรุงระบบเพลาข้อเหวี่ยงให้เบาลง, ปรับปรุงเซนเซอร์และระบบบำบัดไอเสียใหม่, ฯลฯ

 

ซึ่งผลที่ได้ก็คือ มันจะสามารถทำกำลังสูงสุดได้ 145 แรงม้า ที่ 7,750 รอบ/นาที จากที่เคยทำได้ 136 แรงม้าในย่านรอบเดียวกัน และมีแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที จากที่เคยทำได้ 143 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบ/นาที และมีการจำกัดรอบเครื่องยนต์สูงสุดเอาไว้ที่ 9,000 รอบ/นาที

BMW R1300R 2025

นอกนั้นก็จะเป็นการปรับปรุงชุดกลไกระบบเกียร์ใหม่ ให้มีขนาดเล็กลง ปรับเพลาส่งกำลังให้สั้นลง และปรับเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ใหม่ ให้เหมาะสมกับลักษณะนิสัยเครื่องยนต์ลูกใหม่มากขึ้น โดยจะเน้นไปที่การเรียกอัตราเร่งในช่วงเกียร์ต่ำ จนรถสามารถเรียกอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 3.39 วินาที และลดรอบการทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงการขี่ด้วยเกียร์สูงที่ความเร็วสูง แต่รถยังคงมีกำลังแรงปลายมากพอ ที่จะทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

หากผู้ใช้ขี้เกียจเลี้ยงคลัทช์เอง มันก็มีทางเลือกรุ่นที่ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ Automate Shift Assistant (ASA) ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อกันด้วย

 

ระบบช่วงล่างตัวรถ จะมีการปรับเซ็ทกันใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชุดโช้กอัพตะเกียบคู่หัวกลับขนาดแกน 47 มิลลิเมตร ช่วงยุบ 140 มิลลิเมตร และชุดโช้กหลังต้นเดี่ยวแบบมีกระปุกซับแทงค์แก๊สแยก ที่จะทำงานร่วมกับชุดปีกนก EVO Paralever ซึ่งถูกปรับปรุงใหม่ ให้มอบการทำงานที่มีสเถียรภาพมากขึ้น

BMW R1300R 2025

โดยที่ทั้งหมด ก็จะทำงานร่วมกับระบบ Dynamic Suspension Adjustment หรือระบบปรับการทำงานของตัวโช้กด้วยไฟฟ้าแบบกึ่งอัตโนมัติที่ถูกเซ็ทโปรแกรมมาให้ ให้สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสมกับพละกำลังของตัวรถที่มากขึ้น และกลไกช่วงล่างที่เปลี่ยนไป รวมถึงชุดล้ออัลลอยด์หน้า-หลัง ใหม่ ที่เบาลงกว่าเดิม 1.4 กิโลกรัม ช่วยลดน้ำหนักใต้สปริง ทำให้รถมีความคล่องตัวมากขึ้น แม้น้ำหนักรวมของเหลวของตัวรถจะยังคงเท่าเดิมที่ 239 กิโลกรัม และล้อหลังจะมีหน้ากว้างมากกว่าเดิม จาก 5.5 นิ้ว เป็น 6.0 นิ้ว ทำให้รองรับการใส่ยางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จาก 180/55-17 เป็น 190/55-17 โดยที่ล้อหน้ายังคงมีขนาดกระทะ 3.5 นิ้วเท่าเดิม และรัดด้วยยางไซส์เดิมคือ 120/70-17

 

ระบบเบรกจะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของตัวจานเบรกใหม่ จากที่เคยใช้จานเบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร ก็ปรับให้เหลือ 310 มิลลิเมตร เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินออกไป โดยผู้ใช้ไม่ต้องหวั่นใจเรื่องประสิทธิภาพ เพราะมันยังคงทำงานร่วมกับปั๊มล่างแบบโมโนบล็อค เรเดียลเมาท์ 4 พอท ดังเดิม

 

ขณะที่จานเบรกหลังกลับมีการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น โดยขยับมาอยู่ที่ 285 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มแอกเซียลเมาท์ 2 พอท และยังมีการเสริมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ABS Pro กันเลยตั้งแต่ออกโรงงาน

BMW R1300R 2025

ท้ายสุดคือเรื่องของระบบอิเล็กทรอนิกส์เสริมความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ขี่ ที่จะมีทั้งระบบ Headlight Pro ที่จะคอยปรับระดับความสว่างของไฟหน้าให้อัตโนมัติตามสภาวะแสดงแวดล้อม, ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันได้เอง (Active Cruise Control), ระบบแจ้งเตือนการชนด้านหน้า (Front Collision Warning), ระบบกุญแจ Keyless, ชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital TFT ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมชุดจอยสติ๊กเพื่อคุมลูกเล่นต่างๆที่มีให้ปรับในหน้าจอ, ระบบป้องกันล้อหน้าลอยเมื่อเปิดคันเร่งหนักๆ, ระบบคุมแรงหน่วงเครื่องยนต์ (Engine Drag Torque Control) และโหมดการขับขี่พื้นฐาน 3 รูปแบบ Rain/Road/Eco ส่วน Dynamic และ Dynamic Pro จะอยู่ในหมวดออพชันเสริม

 

โดยราคา BMW R1300 R สำหรับการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ประกาศตัวเลขสำหรับการวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรไว้แล้วว่าจะเริ่มต้นที่ 13,200 ปอนด์ หรือราวๆ 580,000 บาท ส่วนการวางจำหน่ายในประเทศไทย ก็อาจจะต้องรอกันยาวๆจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อยจึงจะได้เห็นรถตัวเป็นๆกันอีกที

Source Cr.: BMW

อ่านข่าว New Bikes เพิ่มที่นี่

อ่านข่าว BMW เพิ่มที่นี่


 

เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่

Website : motowish.com 

Facebook : facebook.com/motowish



ห้ามคัดลอกบทความหรือเนื้อหาในเว็บ Motowish