คอมพาวด์ยาง (Compound) สำคัญไฉน ทำไมต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม
การขับขี่รถซูเปอร์ไบค์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังและการตัดสินใจที่ดี การเลือกใช้ยางรถซูเปอร์ไบค์ก็เช่นกัน การเลือกคอมพาวด์ยางที่เหมาะสมสำคัญอย่างยิ่งเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุด วันนี้มาทำความรู้จักกันว่าคอมพาวด์ยางคืออะไร และมีแบบไหนบ้าง เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับตัวไบค์เกอร์เอง
คอมพาวด์ยาง (Compound) เป็นองค์ประกอบหลักในการผลิตยางรถ ประกอบด้วยส่วนผสมของยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ รวมถึงคาร์บอนแบล็กและเคมีอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของคอมพาวด์ยางนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติของยางรถได้ โดยคุณสมบัติต่างๆ ของยาง ได้แก่ ความยืดหยุ่น, ความแข็งแรง, ระดับการยึดถนน, และความทนทาน มีสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่รถซูเปอร์ไบค์ ทั้งหมดนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของคอมพาวด์
คอมพาวด์ยางมีหลายแบบ โดยวิธีการปรับส่วนผสมของวัตถุดิบต่างๆ เพื่อทำให้ได้คุณลักษณะที่ต้องการ ในส่วนของยางรถจักรยานยนต์จะมีสามแบบหลักๆ คือ Soft, Medium และ Hard
1.Soft Compound (คอมพาวด์อ่อน) ได้รับการสร้างขึ้นจากส่วนผสมของยางที่เน้นไปที่ความยืดหยุ่นและความนุ่ม เนื่องจากความนุ่มนี้ ยางประเภทนี้สามารถยึดเกาะถนนได้ดีที่สุด และสามารถปรับตัวตามรูปร่างและลักษณะของพื้นถนนได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสามารถในการยึดเกาะพื้นถนนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ความอ่อนนุ่มของ Soft Compound อาจทำให้เกิดการสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ เมื่อเทียบกับยางที่มีความแข็ง ดังนั้น อายุการใช้งานของยางประเภทพอาจจะสั้นกว่า และอาจต้องเปลี่ยนยางบ่อยกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วย แต่เนื่องจากการยึดเกาะที่ดี ยางประเภทนี้มักถูกใช้ในรถซูเปอร์ไบค์ที่ใช้สำหรับแข่งขัน หรือวิ่งในสนามแข่งเพื่อรีดประสิทธิภาพสูงสุดของรถ
2.Medium Compound (คอมพาวด์กลาง) เป็นส่วนผสมที่มีความสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและความทนทาน ทำให้มีความสามารถในการยึดเกาะพื้นถนนที่ดีและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าคอมพาวด์ยางอ่อน
ข้อดีของ Medium Compound คือความเป็นมิตรกับผู้ใช้งานในเรื่องของอายุการใช้งานและการใช้งานที่สามารถเอามาใช้ได้หลากหลาย ทั้งการขับขี่ในเมือง หรือการขับขี่ระยะไกล และแม้แต่การขับขี่บนถนนที่มีสภาพถนนที่แตกต่างกัน
ยางประเภทนี้สามารถใช้ได้ดีในสภาพการขับขี่ทั่วไป และยังมีการทนทานต่อการสึกหรอที่ดีเมื่อเทียบกับ Soft Compound ทำให้เหมาะสำหรับการขับขี่ทั่วไปและในบางกรณีในการแข่งขันก็สามารถใช้ยางประเภทนี้ได้ด้วยเหมือนกัน
3.Hard Compound (คอมพาวด์แข็ง) จะเป็นส่วนผสมที่มีความทนทานที่สุด และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุด หมายความว่า ยางประเภทนี้จะสึกหรอช้ากว่ายางประเภทอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม Hard Compound อาจจะทำให้การยึดเกาะพื้นถนนน้อยลง เมื่อเทียบกับยาง Soft หรือ Medium แต่ยังคงให้ความสามารถในการขับขี่ที่มีความเสถียรและปลอดภัยไม่ต่างกันยางแบบอื่น ยางประเภทนี้เหมาะสำหรับการขับขี่ระยะไกล การขับขี่ในสภาพถนนที่ต้องการความทนทานเป็นหลัก หรือไบค์เกอร์ที่ต้องการใช้งานยางนานๆ ไม่อยากเปลี่ยนยางบ่อย
อุณหภูมิที่ใช้ในการวอร์มยางของยางแต่ละคอมพาวด์นั้น โดยหลักแล้วยางจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีความร้อน แต่ยางบางรุ่นออกแบบมาไม่ต้องการให้มีการวอร์มยางที่ร้อนจนเกินไป ยกเว้นแต่การวิ่งในสนามแข่งขันเพื่อให้รีดประสิทธิภาพยางรวดเร็วที่สุด และเพิ่มการยึดเกาะ
ดังนั้นหากวิ่งบนถนนทั่วไปการวอร์มยางในอุณหภูมิที่ต่ำ 50-60 องศาเซลเซียส ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้ในการขับขี่ แต่ถ้าเป็นการวิ่งในสนามแข่งขันก็ควรเพิ่มอุณหภูมิไปที่ 65-70 องศาเซลเซียส แล้วยังต้องคำนึงถึงลมยางที่ใช้ด้วย เพราะเมื่อวิ่งไปแล้วยางร้อนจะมีแรงดันยางเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพสนาม รวมถึงสไตล์การขับขี่ของไบค์เกอร์แต่ละคนเอง ไม่มีอะไรตายตัว และให้ดูที่คู่มือยางแต่ละยี่ห้อด้วยว่าค่ายนั้นๆ แนะนำอุณหภูมิการวอร์มยางที่เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม
นอกจากนี้ยังมี ยาง Multi-Compound หรือ ยาง Dual-Compound เป็นการผสมคอมพาวด์สองแบบหรือมากกว่าในยางเดียว นั่นคือ การใช้ส่วนผสมของยางที่ต่างกันอยู่ในแต่ละส่วนของยางเพื่อรวมอยู่ในยางตัวเดียว
ยางประเภทนี้สร้างขึ้นเพื่อให้มีความยืดหยุ่นสำหรับการขับขี่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าโค้งได้ดี แต่ขณะเดียวกันก็มีความทนทานเมื่อขับขี่ในทางตรง เช่น ใช้ Soft Compound อยู่ที่ส่วนแก้มของยางเพื่อให้เข้าโค้งได้ดียึดเกาะ และใช้ Hard Compound ที่ส่วนกลางของยางเพื่อให้มีความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานเมื่อขับขี่ในทางตรง
ซึ่งยี่ห้อยางที่ขายในประเทศไทยที่มีการผสมคอมพาวด์ตั้งแต่ 2 คอมพาวด์ขึ้นไปในก็มี Bridgestone โดยเป็นเทคโนโลยี 3 Layer Compound ซึ่งแบ่งเนื้อยางเป็น 3 โซน 2 คอมพาวด์ โดยใช้เนื้อยางอ่อน (Soft) ในบริเวณขอบยาง ทำให้ยึดเกาะเวลาเข้าโค้งได้ดีขึ้น และใช้เนื้อยางที่แข็งขึ้น(Hard) บริเวณส่วนกลางของยางเพื่อเพิ่มความทนทานในการขี่ทางตรง
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเทคโนโลยี 5 Layer Compound โดยแบ่งเนื้อยางเป็น 5 โซน 3 คอมพาวด์ เทคโนโลยี่ที่พัฒนามาจากการแข่งขัน โดยใช้เนื้อยางด้านขอบยางที่นิ่มที่สุดเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการยึดเกาะเวลาเข้าโค้งในองศาที่แคบ ส่วนบริเวณด้านข้างใช้เนื้อยางนิ่ม ที่ช่วยเพิ่มแรงดึงเวลาออกจากโค้ง ส่วนเนื้อยางบริเวณตรงกลางใช้เนื้อยางที่แข็งขึ้น เพื่อเพิ่มความทนทานในการขี่ทางตรง
ยังไม่หมดแค่นั้นนอกจากในเรื่องของความยึดเกาะและทนทานแล้ว Bridgestone ยังได้เพิ่มเทคโนโลยี 3LC+CAP&BASE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการแยกเนื้อยางส่วนในและนอก โดยใช้เนื้อยางที่มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะสูงไว้ด้านนอก และใช้เนื้อยางที่มีสารประกอบการป้องกันรอยขีดข่วนที่มีความคงทนสูง อายุการใช้งานที่ยืนยาวกว่าไว้ด้านใน เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งสมรรถนะและความคงทนได้อย่างลงตัว
โดยเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ Bridgestone ได้เอามาใส่ไว้ในยางสำหรับรถบิ๊กไบค์ไม่ว่าจะเป็น BATTLAX HYPERSPORT S21, BATTLAX HYPERSPORT S22, BATTLAX RACING STREET RS10 และ BATTLAX RACING STREET RS11 นอกจากนี้สำหรับสายแข่งในสนามยังมี RACING BATTLAX V02 ที่ใช้เทคโนโลยีหลายคอมพาวด์ในยางเดียวกันอีกด้วย
และนี่ก็เป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับคอมพาวด์ยาง ไบค์เกอร์คนไหนชื่นชอบยางคอมพาวด์แบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบให้เหมาะกับตัวเอง และสำหรับไบค์เกอร์คนไหนกำลังมองหายางรถบิ๊กไบค์สายสปอร์ต หรือไบค์เกอร์สายอื่น Bridgestone มียางให้เลือกมากมาย สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ หรือสอบถามดีลเลอร์ใกล้บ้าน ค้นหาได้ที่นี่
อ่านข่าว General Tips เพิ่มที่นี่
อ่านข่าว Bridgestone เพิ่มที่นี่
เรื่องราว ข่าวสองล้อที่สาวกไบค์เกอร์ต้องรู้ที่
Website : motowish.com
Facebook : facebook.com/motowish